สุภาษิตไทยที่บอกว่า ‘เวลาและวารีไม่เคยรอ’ ยังเป็นความจริงเสมอ แค่เพียงพริบตาเดียว ปฏิทินเดินทางมาถึงกลางปีแล้ว ใครที่ตั้งใจวางแผนกำหนดเป้าหมายชีวิตในปีนี้อาจต้องกลับมาทบทวนกันบ้างว่า ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่กำหนดหรือไม่
แผนทางการเงินที่แต่ละคนมีการกำหนดกันไว้ตั้งแต่ต้นปีควรมีการนำมาทบทวนเช่นกัน ว่ามีการดำเนินการไปตามแผนที่ตั้งเอาไว้แล้วหรือยัง Biz Buzz ฉบับนี้เลยจะพามาติดตามอัตราผลตอบแทนจากการออมและการลงทุนในทางเลือกต่างๆ สำหรับช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง
1. บัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินรับฝาก และถ่วงน้ำหนักด้วยยอดคงค้างเงินรับฝากครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 เท่ากับ 1.29% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน สูงสุดของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกเท่ากับ 1.80% ต่อปี ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ต่ำสุดของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกเท่ากับ 0.25% ต่อปี
2. พันธบัตรรัฐบาล
อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเภทพันธบัตรเงินกู้ในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 เมื่อพิจารณาผลขาดทุนจากราคาพันธบัตรรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงไปรวมกับดอกเบี้ยที่นักลงทุนได้รับจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ส่งผลทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 นักลงทุนจะมีผลขาดทุน 1.25%
3. หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ สิ้นปี พ.ศ. 2560 ปิดที่ระดับ 1,753.71 ในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการเคลื่อนไหวผันผวน ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากสงครามการค้าโลกที่เริ่มขยายวงกว้างขึ้น ส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการเคลื่อนไหวสูงสุดที่ระดับ 1,852.51 ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 และต่ำสุดที่ระดับ 1,584.68 ในวันที่ 29 มิถุนายน 2561 โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันสุดท้ายของครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 ปิดไปที่ระดับ 1,595.58
ดังนั้น ราคาเฉลี่ยของหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 จึงลดลง 9.02% แต่เนื่องจากนักลงทุนยังได้รับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 เท่ากับ 1.69% ต่อปี ส่งผลทำให้อัตราตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 มีผลขาดทุน 7.33%
4. ทองคำ
ราคาทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 96.5% ที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2561 มีราคารับซื้อบาทละ 20,000 บาท และมีราคาขายบาทละ 20,100 บาท ในขณะที่วันที่ 30 มิถุนายน 2561 มีราคารับซื้อบาทละ 19,550 บาท และมีราคาขายบาทละ 19,650 บาท นั่นหมายความว่าหากคุณซื้อทองคำสิ้นปีที่แล้ว และขายไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา คุณจะขาดทุนจากการลงทุนในทองคำ 2.74%
5. น้ำมัน
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2561 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาเมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2560 ที่ 66.82 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เป็น 76.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลทำให้นักลงทุนได้รับอัตราผลตอบแทนสูงถึง 14.64%
ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2561 น้ำมันหรือทองสีดำ (Black Gold) จึงกลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาวของนักลงทุนชาวไทย แต่คงจะต้องติดตามกันต่อว่าในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2560 ทางเลือกการลงทุนอื่นๆ จะสามารถสร้างผลตอบแทนพลิกจากขาดทุนกลายเป็นกำไรได้หรือไม่
ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม