kiss

kiss

รู้ไหมวันนี้ผู้สูงอายุเป็นสิ่งสากล    วันที่ 1 ตุลาคม ถือเป็นวันผู้สูงอายุสากล และถ้าจะพูดต่อไปอีกว่า วันนี้สำหรับทุกๆ ประเทศ การพบเห็นผู้สูงอายุทั่วบ้านทั่วเมืองทุกมุมของโลกได้กลายเป็นสิ่งสากลไปแล้ว   วิทยาการความก้าวหน้าทางการแพทย์ และโภชนาการได้ทำให้อายุขัยของมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป และผู้สูงอายุในยุคนี้จะอยู่กันเป็นหลักศตวรรษไม่ใช่ทศวรรษอีกด้วย การวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ จึงเป็นแนวคิดที่เกิดจากความต้องการในการสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ตั้งแต่เริ่มต้นทำงานได้จนกระทั่งเกษียณจนตายในที่สุด โดยไม่ต้องเป็นภาระกับลูกหลานหรือสังคม ซึ่งในยุคปัจจุบันหลายๆ คนอาจไม่มีลูกหลานมาดูแล หรือไม่แน่ใจว่า ลูกหลานจะดูแลเราได้จริงหรือไม่ การวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ จึงเป็นกระบวนการที่แต่ละคนจะต้องกำหนดมาตรฐานการครองชีพที่ต้องการหลังเกษียณ เพื่อคำนวณเงินที่ต้องการ ณ วันที่เกษียณ แล้ววางแผนในการออมและการลงทุน ตั้งแต่ปัจจุบันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามจำนวนเงินที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการวางแผนทางการเงินเป็นกระบวนการที่อาจต้องใช้ระยะเวลา 20 – 30 ปี หลายๆ คนจึงมักมองข้ามความสำคัญของการวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ เนื่องจากคิดว่าเป็นเรื่องของอนาคตที่ยังอยู่ห่างไกล ส่งผลทำให้ละเลยไปเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยเข้าใกล้วัยเกษียณจึงค่อยมาตื่นตัว แต่นั่นก็อาจสายจนเกินไป เพราะเงินจำนวนมากมายที่คุณต้องการใช้หลังเกษียณก็จำเป็นต้องใช้การสะสมเป็นเวลานานเช่นกัน การวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ จึงเป็นกระบวนการที่ต้องเริ่มต้นทันที ตั้งแต่วันที่คุณเริ่มต้นทำงาน โดยอาจกำหนดเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. การเตรียมความพร้อมสำหรับการวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ ก่อนที่คุณจะวางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณ คุณต้องเตรียมเงินไว้ใช้จ่ายในยามฉุกเฉินให้เพียงพอก่อน อย่างน้อยเก็บเงินสด ซึ่งอาจอยู่ในรูปของบัญชีเงินฝากให้พอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายให้ได้สัก 6 เดือน และทำประกันภัย ทั้งรถยนต์ ที่พักอาศัย สุขภาพ และชีวิตให้ครบถ้วน เพื่อที่ว่าเงินที่ลงทุนไว้ใช้หลังเกษียณ จะได้ไม่ต้องถูกนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวลาที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน อุบัติเหตุ หรือเจ็บไข้ได้ป่วย  2. การคาดการณ์จำนวนเงินที่ต้องการใช้ทั้งหมดหลังเกษียณ ทั้งนี้คุณต้องเริ่มคาดการณ์อายุขัยเฉลี่ยของตนเอง โดยอาจดูแนวทางจากอายุขัยเฉลี่ยของคนไทย แล้วทำการปรับประมาณการอายุขัยเฉลี่ยโดยดูจากประวัติสุขภาพของตนเอง รวมทั้งอายุขัยของบุคคลอื่นๆ ในครอบครัว  หลังจากนั้นคุณต้องตั้งเป้าหมายว่า จะเกษียณเมื่ออายุเท่าใด ซึ่งจะทำให้เห็นตัวเลขคร่าวๆ ว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณอีกกี่ปี แล้วจึงทำการกำหนดมาตรฐานการครองชีพที่ต้องการหลังเกษียณ โดยลองคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่คุณต้องการใช้หลังเกษียณในแต่ละปี แต่อย่าลืมว่า ค่าใช้จ่ายบางส่วนอาจเพิ่มขึ้น เช่น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพและการท่องเที่ยว ในขณะที่อาจมีค่าใช้จ่ายบางส่วนลดลง เช่น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย  ในการประมาณการค่าใช้จ่ายที่ต้องการหลังเกษียณ คุณต้องเผื่อค่าใช้จ่ายให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะกว่าที่คุณจะเกษียณในอีก 20–30 ปีข้างหน้านั้น ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงอาจปรับตัวมากขึ้นหลายเท่าตัวจากอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจมีรายได้จากแหล่งต่างๆ ไว้ใช้หลังเกษียณ ไม่ว่าจะเป็นเงินบำเหน็จบำนาญชราภาพจากกองทุนประกันสังคม รวมทั้งเงินสะสมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำหรับลูกจ้าง/พนักงาน หรือเงินบำเหน็จบำนาญจากกระทรวงการคลัง รวมทั้งเงินสะสมจากกองทุนกบข. สำหรับข้าราชการ  3. การวางแผนการออมและการลงทุน เมื่อคุณรู้จำนวนเงินทั้งหมดที่ต้องการหลังเกษียณ ก็จะต้องทำการเฉลี่ยสะสมจำนวนเงินที่ต้องการ โดยตั้งเป้าหมายในการออมให้ได้ในแต่ละเดือน ก่อนที่จะนำเงินเดือนที่ได้รับไปใช้จ่าย ทั้งนี้คุณสามารถเก็บเงินในแต่ละเดือนให้น้อยลงได้ ถ้าหากคุณรู้จักนำเงินเก็บนั้นไปลงทุนให้เหมาะสม เพื่อให้ได้ดอกผลมาช่วยลดจำนวนเงินสะสมที่ต้องการ  เพียงเท่านี้ก็จะช่วยทำให้คุณสามารถดำรงชีวิตหลังเกษียณอยู่ได้ โดยไม่ต้องอาศัยความเมตตาผ่านรายการโทรทัศน์แล้วละครับ   AUTHOR : ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม 
ความเสี่ยงของบัญชีเงินฝากในยุค 4.0   โลกและประเทศไทยในยุค 4.0 เป็นช่วงเวลาที่ความเปลี่ยนแปลงกลายเป็นความปกติที่เราสามารถพบเจอได้ทุกวัน คำว่า Disruption กลายเป็นคำคุ้นเคยที่เกิดขึ้นกับเกือบทุกอุตสาหกรรม รวมทั้งอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ที่ค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยมก็ถูกความเปลี่ยนแปลงเข้ามาเขย่าจนปั่นป่วน   เพียงแค่ไม่กี่วันที่ผ่านมา บางคนอาจยังไม่รู้ว่าความคุ้มครองของบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ที่คุณมีอยู่ได้ถูกลดลงไปสำหรับบางคนแล้วอีกประมาณ 1 ใน 3 ของวงเงินที่ได้รับความคุ้มครองเดิม  ก่อนอื่นคงต้องเท้าความกันยาวไปถึง ในช่วงปี พ.ศ. 2540 ซึ่งระบบสถาบันการเงินของไทยต้องประสบปัญหาจนลุกลามกลายเป็นวิกฤติทางการเงินโด่งดังไปทั่วโลก พลอยทำให้อาหารไทยโด่งดังไปทั่วโลกเพราะวิกฤติทางการเงินดังกล่าวรู้จักกันดีในชื่อของ วิกฤติต้มยำกุ้ง (Tom Yum Kung Crisis) และส่งผลทำให้รัฐบาลในขณะนั้นได้ออกมติ ครม. คุ้มครองเงินฝากของผู้ฝากทุกคนที่มีอยู่ในสถาบันการเงินต่างๆ เต็มจำนวน เพื่อเป็นการเรียกความเชื่อมั่นของผู้ฝากและเจ้าหนี้รวมทั้งนักลงทุนต่างๆ ต่อระบบทางการเงินให้กลับคืนมา อย่างไรก็ตามการที่รัฐคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนก็อาจส่งผลให้สถาบันการเงินประกอบธุรกิจที่สุ่มเสี่ยงเกินไป เพราะผู้ฝากจะไม่พิจารณาความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงินก่อนที่จะทำการฝากเงิน เนื่องจากเห็นว่าได้รับความคุ้มครองเต็มจำนวนจากรัฐฯ  การจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากจึงเป็นการลดภาระ (ผูกพัน) ทางการเงินของรัฐที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งก็จะเป็นภาระของผู้เสียภาษีในที่สุด และเป็นการควบคุมสถาบันการเงินจากการใช้กลไกตลาดให้มีการดำเนินงานที่รอบคอบมากขึ้น ยังเป็นการเพิ่มเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินอีกด้วย  เนื่องจากถ้าหากยกเลิกมาตรการคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนแล้วไม่มีการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากขึ้นมาดูแลเงินฝากของระบบสถาบันการเงิน อาจส่งผลทำให้เกิดการตื่นตระหนกและแห่กันไปถอนเงินฝากออกจากระบบสถาบันการเงิน จนเกิดเป็นวิกฤติทางการเงินรอบใหม่ขึ้นมาก็ได้ ทั้งนี้ สถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากประกอบด้วย  ธนาคารพาณิชย์ (รวมสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการในประเทศ) บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ส่วนสถาบันการเงินที่นอกเหนือจากประเภทที่กล่าวข้างต้น จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก เช่น สถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น และยังไม่ได้กำหนดในพระราชกฤษฎีกาให้เป็นสถาบันการเงินภายใต้การคุ้มครอง เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอาคารสงเคราะห์ เป็นต้น ทั้งนี้ สถาบันการเงินที่กล่าวมาเป็นสถาบันการเงินของรัฐ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เป็นต้น ผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง ได้แก่ เงินฝากที่เปิดไว้ที่สถาบันการเงินตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นที่เป็นเงินสกุลบาทและเป็นบัญชีเงินฝากภายในประเทศ ในปัจจุบันครอบคลุมถึง เงินฝากกระแสรายวัน  เงินฝากออมทรัพย์/ สะสมทรัพย์/ เผื่อเรียก  เงินฝากประจำ บัตรเงินฝาก และใบรับฝากเงิน วงเงินคุ้มครองเงินฝากซึ่งเป็นจำนวนเงินฝากที่ผู้ฝากเงินของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตจะได้รับคืนทันทีจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากในลำดับแรกภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด 30 วันหลังจากยื่นคำขอรับเงินได้มีการปรับลดลงเหลือเพียง 10 ล้านบาทต่อ 1 รายของผู้ฝากเงิน (ไม่ใช่ต่อ 1 บัญชี) ต่อ 1 สถาบันการเงินตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา และวงเงินคุ้มครองดังกล่าวจะลดลงเหลือเพียง 5 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2562 และในที่สุดจะลดลงเหลือเพียง 1 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป สำหรับจำนวนเงินฝากส่วนที่เกินวงเงินคุ้มครอง ผู้ฝากเงินจะมีโอกาสได้รับคืนเพิ่มเติมเมื่อการชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตเสร็จสิ้น ต่อไปนี้ก่อนฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง อย่าลืมเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับควบคู่ไปกับความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์แห่งนั้นๆ ด้วยนะครับ    AUTHOR : ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม 
อสังหาริมทรัพย์ ทางเลือกการลงทุนครึ่งปีหลัง 2018       หลังจาก Update การลงทุนครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2561 ซึ่งการลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีอัตราตอบแทนเฉลี่ยขาดทุน 7.33% และการลงทุนในพันธบัตรเงินกู้ของรัฐบาลมีอัตราผลตอบแทนขาดทุน 1.25% ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำเฉลี่ยครึ่งปีแรกเท่ากับ 1.29% ต่อปี   หลายคนจึงตั้งคำถามว่า แล้วจะมีทางเลือกการลงทุนอื่นๆ อีกบ้างไหมที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการอัตราผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์อาจเป็นอีกหนึ่งคำตอบสำหรับผู้ที่มองหาทางเลือกในการต่อยอดความมั่งคั่ง ทั้งนี้ 4 เหตุผลดีๆ ต่อไปนี้อาจทำให้นักลงทุนมองเห็นข้อดีหรือข้อได้เปรียบจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เมื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกการลงทุนอื่นๆ   1. ผลตอบแทน 2 ทาง นักลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนจากการเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนจากราคาที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และ/ หรือผลตอบแทนสม่ำเสมอจากค่าเช่า ทั้งนี้ อสังหาริมทรัพย์เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ ส่งผลทำให้ความต้องการอสังหาริมทรัพย์มีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณประชากรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้อสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่จะมีมูลค่าหรือราคาปรับสูงขึ้นเสมอ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุน อย่างไรก็ตามนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนประจำสม่ำเสมอก็อาจเลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีค่าเช่าตอบแทนการลงทุนสม่ำเสมอทุกๆ เดือน เช่น บ้านเช่า อพาร์ตเมนต์ หรือคอนโดมิเนียม รวมทั้งที่ดินที่ให้เช่าทำการเกษตรกรรมหรือพาณิชยกรรมต่างๆ 2. ผลตอบแทนรักษาอำนาจซื้อชดเชยอัตราเงินเฟ้อ การออมเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์หรือการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วๆ ไป นักลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนคงที่ประจำสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้า/ บริการที่เพิ่มขึ้นทุกปีทำให้บางครั้งอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าอัตราผลตอบแทนที่ได้รับการลงทุน และส่งผลทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับมีอำนาจซื้อที่ลดลง  อย่างไรก็ตามการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นั้นผลตอบแทนที่ได้รับจากค่าเช่ามักมีการกำหนดล่วงหน้าในสัญญาให้เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี หรือทุกๆ 3-5 ปี เพื่อชดเชยกับอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนั้นราคาอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีก็ส่งผลทำให้เงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาอสังหาริมทรัพย์ชดเชยกับอัตราเงินเฟ้อเช่นกัน   3. ผลตอบแทนกระจายความเสี่ยง เนื่องจากราคาของอสังหาริมทรัพย์มีความสัมพันธ์ที่ไม่สูงมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกการลงทุนในหลายทางเลือก ส่งผลทำให้การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับทางเลือกการลงทุนอื่นๆ ได้รับอัตราผลตอบแทนที่มีความผันผวนน้อยลง และถือได้ว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง 4. ผลตอบแทนพร้อมแหล่งเงินทุนสนับสนุน การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีความได้เปรียบทางเลือกการลงทุนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงแหล่งเงินทุนสนับสนุนจากสินเชื่อหรือเงินกู้ระยะยาวซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าและมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า เนื่องจากการสนับสนุนจากภาครัฐผ่านมาตรการในการลดหย่อนภาษีต่างๆ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนก็ยังสามารถใช้เป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินผู้ให้กู้ยืมอีกด้วย เหตุผลดีๆ มีมากมายขนาดนี้ ใครที่เคยมองข้ามการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็ควรจะชายตามาเปิดใจกับการกระจายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์บ้างนะครับ การกระจายไข่ในตะกร้าหลายใบจะช่วยทำให้วันที่ตะกร้าใบหนึ่งใบใดตกหล่น ไข่ในตะกร้าใบอื่นก็ยังคงไม่ตกแตกไปตามตะกร้าใบที่ตกนะครับ  Rabbit Today ขอฝากวลีเด็ดของนักการเงินที่มักพูดกันว่า Don't put all your eggs in one basket แต่อย่าประยุกต์ใช้แนวคิดนี้ไปกับเรื่องราวความรักละครับ เพราะหัวใจของคนมีดวงเดียว ไม่ใช่ไข่ที่จะกระจายใส่ตะกร้าหลายใบ   AUTHOR : ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม 
4 เหตุผลดีๆ กับการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ   เพียงแค่พริบตาเดียว วันเวลาในปี พ.ศ. 2561 ก็ล่วงมาจนถึงวันที่ 204 ของปีนี้แล้ว เวลาและวารีไม่เคยรอใครอย่างที่สุภาษิตไทยสอนเรากันไว้จริงๆ นะครับ และผมเชื่อว่าหลายคนซึ่งรวมทั้งตัวผู้เขียนเองด้วย เริ่มรู้สึกว่าเพียงแค่ไม่กี่พริบตา เราก็เดินทางมามากกว่าครึ่งทางของชีวิต   ล่าสุด สำนักงานสถิติแห่งชาติได้เปิดเผยว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 16.8 ของประชากรทั้งประเทศ และยังพบอีกว่า ร้อยละ 35.8 ของผู้สูงอายุทั้งหมดยังคงต้องทำงานต่อไป และแนวโน้มที่ผู้สูงอายุยังต้องทำงานนับวันก็จะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ  อย่างไรก็ตามผู้สูงอายุที่ยังสามารถทำงานต่อได้เป็นผู้สูงอายุที่ประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้างถึงร้อยละ 61.6 ในขณะที่เป็นลูกจ้างเอกชนและลูกจ้างรัฐบาลเพียงร้อยละ 12.2 และ 2.2 ตามลำดับ หลายคนมักคิดว่าการวางแผนเกษียณเป็นเรื่องของคนแก่ ไว้ใกล้ๆ เกษียณแล้วค่อยคิดกันอีกทีก็ได้ อีกตั้งนาน แต่จริงๆ แล้วมีอยู่ 4 เหตุผลว่าทำไมทุกคนควรจะต้องเริ่มวางแผนเกษียณกันตั้งแต่วันนี้   1. เราอาจไม่สามารถดูแลตัวเองได้ดี หรือไม่ได้เลยเมื่อเกษียณ สุขภาพกายของมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้แรงกายทำงานได้จนหมดลมหายใจ แต่ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวันก็ยังคงมีอยู่ต่อไปไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเครื่องนุ่งห่ม ค่าดูแลรักษาบ้าน และค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2557 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าในระหว่าง 7 วันก่อนวันสัมภาษณ์ ผู้สูงอายุประเมินว่าร่างกายโดยรวมมีภาวะสุขภาพดีมากและดีรวมกันไม่ถึงร้อยละ 50    2. เราอาจไม่มีลูกหลานดูแล หรือลูกหลานอาจไม่สามารถดูแลเรา ข้อมูลสถิติจากธนาคารโลกพบว่า ในปี พ.ศ. 2503 อัตราการเจริญพันธุ์หรือจำนวนเฉลี่ยของการผู้หญิง 1 คนจะมีการคลอดบุตร 6.15 คน แต่ในปี พ.ศ. 2557 อัตราการเจริญพันธุ์ลดลงเหลือเพียง 1.51 คนเท่านั้น 3. เราอาจไม่มีคนอื่นมาดูแล องค์กรภาครัฐหรือองค์กรสาธารณกุศลคงไม่สามารถดูแลเราทุกคนได้อย่างที่แต่ละคนต้องการอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่อายุ 60-69 ปี ก็จะได้รับเพียงแค่ 600 บาท เมื่ออายุ 70-79 ปี จะได้รับเพิ่มขึ้นเป็น 700 บาท เมื่ออายุ 80-89 ปี จะได้รับเพิ่มขึ้นอีกเป็น 800 บาท ในขณะที่ผู้สูงอายุ 90 ปีขึ้นไป ก็จะได้รับเพียงแค่ 1,000 บาท ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ต้องการสำหรับหลายๆ คน   4. เราอาจมีเวลาที่ต้องดูแลตัวเองหลังเกษียณยาวนานขึ้น หลายคนที่กล่าวสาธุทุกครั้งเมื่อได้รับพรจากพระ 4 ประการว่า ‘อายุ วรรณะ สุขะ พละ’ ก็อาจเปลี่ยนใจไม่อยากรับพร เมื่อรู้ว่าอายุขัยหลังเกษียณอาจยืนยาวมากขึ้นจนน่าตกใจ ข้อมูลจากศูนย์ศตวรรษิกชนซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลความรู้เกี่ยวกับผู้สูงอายุและศตวรรษิกชนหรือประชากรที่มีอายุร้อยปีขึ้นไปในประเทศไทย พบว่าในการประชุมอายุยืนยาวระหว่างประเทศที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส (Anti- Aging World Conference) ในปี ค.ศ.2005 ได้รายงานทางวิชาการว่า... มนุษย์น่าจะมีอายุยืนยาวเป็นปกติถึง 200 ปี! ผมคิดว่าเอาเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง หรือ 100 ปี เราก็คงต้องมาเอาเท้าก่ายหน้าผากกันแล้วว่าจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ถ้าไม่วางแผนเพื่อวัยเกษียณกันตั้งแต่วันนี้   AUTHOR : ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม            
รวยแค่ไหนถึงพร้อมเป็น พ่อแม่มือใหม่       ละครนางเอกท้องก่อนแต่งโดยไม่รู้ว่าพ่อของลูกเป็นใครต้องวุ่นวายกับการขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความจริงเพิ่งลาจอมายาไปไม่กี่เดือน ไม่กี่วันที่ผ่านมา สื่อก็พากันโหมประโคมข่าวที่เกิดขึ้นจริงในโลกมายากับการยอมรับว่ายังไม่พร้อมจริงๆ สำหรับบทบาทความเป็นพ่อในชีวิตจริงของดาราดังวัยรุ่นเพิ่งบรรลุนิติภาวะที่ยืดอกรับผิดชอบว่าเป็นพ่อของเด็กในท้องโดยไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอให้วุ่นวาย     คำว่า พร้อม ในที่นี้ทุกคนคงยอมรับว่าส่วนหนึ่งหนีไม่พ้นกับความพร้อมทางการเงินที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายตามมาอย่างคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นค่าฝากครรภ์และทำคลอด ค่านม ค่าอาหารทั้งอาหารหลัก และอาหารว่าง ขนมขบเคี้ยว ค่าเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ต้องเปลี่ยนแทบทุกปีตามการเจริญเติบโตของบุตร  ค่ารักษาพยาบาล ประกันสุขภาพ และประกันชีวิต ค่าที่พักอาศัยที่อาจต้องมีบ้านหลังใหญ่ขึ้นมีห้องเพิ่มขึ้นเพื่อความเป็นส่วนตัวของลูกและพ่อแม่ในอนาคต ค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์ค่าอินเทอร์เน็ตและค่าสาธารณูปโภคอื่นๆ ค่าพักผ่อนหย่อนใจนันทนาการของเล่นต่างๆ รวมไปถึงค่าเล่าเรียนทั้งในโรงเรียนและนอกห้องเรียน ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ เหล่านี้จะเพิ่มขึ้นทุกปีเป็นเงาตามตัวเนื่องจากราคาสินค้าบริการต่างๆ ปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ BIZ BUZZ ฉบับนี้ลองรวบรวมข้อมูลค่าเล่าเรียนที่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความพร้อมในการเลี้ยงดูสมาชิกใหม่ในครอบครัวมาให้ ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจได้สำรวจและเตรียมความพร้อมทางการเงินตั้งแต่เนิ่นๆ   ค่าเล่าเรียนโรงเรียนเอกชนทั่วไปตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถม มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษาอาจอยู่ในหลักหมื่นบาท/ ปี แต่ทันทีที่อยากขยับมาตรฐานการศึกษาเป็นการศึกษาหลักสูตรพิเศษในโรงเรียนรัฐก็อาจต้องเพิ่มค่าเล่าเรียนเป็นปีละเกือบครึ่งแสนเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามหากเชื่อในการศึกษาทางเลือกต้องการให้บุตรได้รับการศึกษาในโรงเรียนทางเลือกต่างๆ ค่าเล่าเรียนต่อปีอาจเพิ่มขึ้นเป็นหลักแสนบาทต่อปี ส่วนถ้าใครต้องการให้ลูกเติบโตเป็น Global Citizen พูดภาษาอังกฤษได้ราวกับเป็นเจ้าของภาษาส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ ค่าเล่าเรียนอาจเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 บาทต่อปี จนเกือบล้านบาทต่อปีก็มีอีกเช่นกัน ค่าเล่าเรียนดังกล่าวนี้ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ ตราบใดที่โลกใบนี้ยังหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดวงอาทิตย์ ค่าเล่าเรียนก็จะหมุนไปตามเวลาที่ผ่านไปอีกเช่นกัน ถ้าหากสมมติให้อัตราการเพิ่มขึ้นของค่าเล่าเรียนเท่ากับ 2.5% ต่อปี นั่นหมายความว่าค่าเล่าเรียนปีละ 10,000 บาท อาจเพิ่มขึ้นเป็น 10,769 บาท ในอีก 3 ปีข้างหน้าเมื่อลูกเริ่มเข้าเรียนอนุบาล และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 11,597 บาท ในอีก 6 ปีข้างหน้าเมื่อลูกเริ่มเข้าเรียนประถมศึกษา  และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 13,449 บาท ในอีก 12 ปีข้างหน้าเมื่อลูกเริ่มเข้าเรียนมัธยมศึกษา และนั่นหมายความว่าในอีก 18 ปีข้างหน้าเมื่อลูกเริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ค่าเล่าเรียนจะเพิ่มขึ้นเป็น 15,597 บาท  นั่นหมายความว่าถ้าหากต้องการเตรียมความพร้อมสำหรับการศึกษาของบุตรจนจบปริญญาตรี โดยนำเงินจำนวนหนึ่งไปฝากธนาคารพาณิชย์โดยได้รับอัตราดอกเบี้ยปีละ 1.5% แล้วค่อยๆ ทยอยถอนเงินทุกต้นปีเพื่อไปชำระค่าเล่าเรียนบุตรปีละ 10,000 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ 2.5% จำนวนเงินทั้งหมดที่ต้องการในปัจจุบันจะมีมูลค่าเท่ากับ 214,029 บาท  แต่ถ้าหากค่าเล่าเรียนเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 50,000 บาท หรือ 100,000 บาท จำนวนเงินที่ต้องมีในบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์อาจเพิ่มขึ้นถึง 1,070,147 บาท หรือ 2,140,294 บาทเลยทีเดียว   แต่ถ้าหากอัตราการเพิ่มขึ้นของค่าเล่าเรียนมากกว่านี้ เงินหลักแสนหลักล้านดังกล่าวก็ยังอาจไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามการวางแผนการลงทุนผ่านหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน หุ้นสามัญ หรือกองทุนรวมต่างๆ ก็อาจเป็นอีกตัวช่วยเพิ่มความพร้อมทางการเงินได้อีกเช่นกัน  ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นเพียงค่าเฉลี่ยโดยประมาณ สำหรับใครที่ต้องการคำนวณจำนวนเงินที่ต้องการเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการศึกษาของบุตรที่เป็นข้อมูลของตนเอง ก็อาจลองกรอกข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรและคำนวณได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ www.allaboutfin.com ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในเว็บไซต์ที่ทำให้คนไทยทุกคนสามารถลองวางแผนการเงินเบื้องต้นได้ด้วยตัวเองในยุคประเทศไทย 4.0 อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรเป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของความพร้อมทางการเงินกับการเป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่เท่านั้น ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมายที่ยังรออยู่ และความพร้อมทางการเงินก็เป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งของความพร้อมอื่นๆ ที่ต้องมี  ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมทางด้านร่างกายที่จะดูแลบุตรจนเติบใหญ่ ความพร้อมทางด้านเวลาที่พร้อมจะให้ความอบอุ่น รวมไปถึงความพร้อมทางวุฒิภาวะที่บ่มเพาะให้ลูกน้อยเติบโตเป็นคนดีในสังคม   AUTHOR : ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม      
สามมิติแห่ง การลงทุน ต่อยอดความมั่งคั่ง         คนไทยในยุค 4.0 ที่ Disruptive Technology กำลังพัดเข้ามาทำลายล้างการดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิมๆ ภายในเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน   ส่งผลทำให้เกิดความสั่นคลอนต่อรายได้จากการทำงาน รวมไปถึงการแข่งขันอย่างรุนแรงที่ทำให้รายได้จากการทำงานในองค์กรที่ยังดำเนินธุรกิจแบบเดิมๆ เพิ่มขึ้นในอัตราที่อาจต่ำอัตราเงินเฟ้อ รายได้จากการลงทุนจึงเป็นทางรอดหนึ่งที่จะทำให้เรามีความมั่งคั่งอย่างมั่นคง รูปแบบการลงทุนเพื่อต่อยอดความมั่งคั่งสำหรับนักลงทุนที่ไม่เน้นความหวือหวาไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงในการลงทุนที่สูงมาก และพร้อมที่จะมีระยะเวลาให้เงินทำงานได้อย่างเต็มที่ อาจพิจารณาจากแนวทางพีระมิดการลงทุนใน 3 มิติดังนี้ครับ 1. ซื้อถูก การลงทุนในหุ้นสามัญเปรียบเสมือนกับการที่นักลงทุนจะไปร่วมหุ้นลงทุนเป็นเจ้าของร่วมดำเนินกิจการ โดยที่อาจจะไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเข้าไปบริหารกิจการจริงๆ ดังนั้น นักลงทุนจึงควรมีความรู้ความเข้าใจเบื่องต้นในการดำเนินกิจการของหุ้นสามัญดังกล่าวว่าจะมียอดขายในอนาคตซึ่งส่งผลทำให้บริษัทมีกำไรมาแบ่งเป็นเงินปันผลให้กับนักลงทุนได้มากน้อยเท่าไร แล้วเปรียบเทียบว่าเงินที่ต้องจ่ายลงทุนเท่ากับราคาหุ้นสามัญที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯน้อยกว่าหรือมากกว่าเงินปันผลทั้งหมดที่จะได้รับคืนมาในอนาคต   อย่างไรก็ตามการลงทุนในยุค 4.0 นักลงทุนสามารถหาข้อมูลการคาดการณ์เงินปันผลที่จะได้รับคืนมาทั้งหมดในอนาคตจากบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ที่จะเผยแพร่มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นสามัญให้โดยที่นักลงทุนไม่ต้องไปเก็บรวบรวมข้อมูลและคำนวณเอง แล้วนำมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นสามัญดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับราคาของหุ้นสามัญดังกล่าวที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยควรจะตัดสินใจลงทุนในหุ้นสามัญที่มีราคาถูก นั่นคือว่าราคาที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯควรจะต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเองก็ควรติดตามข่าวสารเพื่อให้สามารถคัดเลือกหุ้นสามัญที่เป็นกิจการที่มีความมั่นคง มีสถานะการเงินที่ดี มีความสามารถในการทำกำไรในอนาคต และมีผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพในการบริหารกิจการเป็นอย่างดี แต่ต้องระวังว่าหุ้นของกิจการที่ดีบางบริษัทอาจมีราคาที่สูงจนเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริง ทั้งนี้เบนจามิน เกรแฮม ซึ่งเป็นปรมาจารย์ในการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ได้ให้คำแนะนำในการคัดเลือกหุ้นลงทุน โดยกำหนดว่าราคาซื้อขายนั้นควรต่ำกว่า 2 ใน 3 ของมูลค่าทางบัญชี   2. จับจังหวะ การลงทุนในหุ้นสามัญที่ต้องการซื้อหุ้น (ราคา) ถูกและ (มีสถานะการเงินและผลการดำเนินงาน) ดี นักลงทุนมักไม่เน้นลงทุนในหุ้นที่อยู่ในกระแสข่าว หรือหุ้นที่นักลงทุนจำนวนมากในตลาดให้ความนิยม เนื่องจากหุ้นเหล่านั้นมักมีราคาตลาดที่สูงเต็มมูลค่า หรือสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ในทางตรงกันข้ามนักลงทุน อาจเลือกหุ้นที่ถูกและดีแล้วรอจังหวะลงทุนที่หุ้นดังกล่าวได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดที่มีความผันผวนมากๆ ซึ่งส่งผลทำให้นักลงทุนจำนวนมากแตกตื่นพากันเทขายหุ้น จนทำให้ราคาหุ้นของกิจการบางแห่งที่มีผลการดำเนินงานที่ดีปรับตัวลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง บางครั้งจังหวะการลงทุนที่ดีก็อาจมีลักษณะที่สวนทางกับตลาดโดยรวม (Contrarian) 3. ขายแพง หลังจากนักลงทุนคัดเลือกหุ้นที่ดีและรอซื้อในจังหวะที่ถูกแล้วก็อาจต้องใจเย็นรอราวกับนักตกปลาที่ต้องรอให้ปลาตัวใหญ่มาติดเบ็ด โดยอาจต้องรอให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเข้าใกล้หรือสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงเป็นปีๆ เนื่องจากจะต้องรอให้นักลงทุนทั่วไปเห็นแจ้งประจักษ์จริงถึงผลดำเนินงานที่แข็งแกร่งของกิจการ อันจะนำไปสู่ยอดขาย ผลกำไร และเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอในที่สุด และเมื่อวันนั้นมาถึงเมื่อนักลงทุนทั่วไปมีข้อมูลที่ครบถ้วนก็จะหันมาให้ความสนใจกับหุ้นของกิจการดังกล่าว ส่งผลทำให้ราคาหุ้นปรับตัวแพงขึ้น และนำมาสู่อัตราผลตอบแทนที่สูงและคุ้มค่ากับการรอคอย   AUTHOR : ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม 
ทองคำ ธาตุโลหะลำดับที่ 79 ตามหมายเลขอะตอมในตารางธาตุ มีความเหนียวและมีความอ่อนตัว ทำให้สามารถยืดและตีขึ้นรูปได้ทุกทิศทางตามที่ต้องการ ส่งผลทำให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้เสมอ คุณสมบัติเฉพาะตัวของทองคำดังกล่าวข้างต้น รวมกับความหายากของทองคำที่ต้องใช้เวลาขุดเจาะมากกว่า 10 ปี จึงส่งผลทให้ทองคำเป็นแร่ธาตุที่ต้องการและหมายปองของมนุษย์ทุกเชื้อชาติมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลจวบจนกระทั่งปัจจุบัน   ความนิยมทองคำในมุมของการลงทุนก็ยังเป็นที่นิยมตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน การลงทุนของคนไทยในยุคสมัยโบราณ เราคุ้นเคยกับการสะสมความมั่งคั่งผ่านทองคำไม่ว่าจะอยู่ในรูปของทองครูปพรรณหรือทองคำแท่ง เนื่องจากสามารถเก็บซ่อนได้ไม่ยาก เคลื่อนย้ายง่าย เมื่อมีความต้องการใช้จ่ายก็สามารถนมาขายหรือจำนำได้อย่างสะดวก นอกจากนั้นผู้ถือครองทองคำยังไม่ต้องกังวลใจกับอำนาจซื้อของเงินที่ลดลงจากภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ข้าวยากหมากแพง เพราะราคาของทองคำมักปรับตัวเพิ่มขึ้นไปด้วยเช่นกัน ในปัจจุบันทองคำยังคงเป็นทางเลือกการลงทุนที่นักลงทุนหลายคนจับตามอง นอกเหนือไปจากทางเลือกในการลงทุนรูปแบบเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ หรือการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่ไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่เพียงพอกับนักลงทุนอีกต่อไป นักลงทุนที่สนใจลงทุนในทองคำอาจทำการลงทุนโดยการซื้อขายทองคำโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณ ทั้งนี้การลงทุนในทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณในประเทศไทยจะไม่ใช่ทองคำแท้ 100% เนื่องจากมีความอ่อนตัวมาก จนไม่สามารถนำมาขึ้นรูปจึงต้องมีการผสมโลหะอื่นๆ เพื่อทำให้มีความแข็งมากขึ้น เช่น เงิน ทองแดง นิกเกิล สังกะสี ทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณที่ซื้อขายในประเทศไทยจึงใช้มาตรฐานความบริสุทธิ์ 96.5% เพื่อให้มีสีเหลืองทองและมีความแข็งเพียงพอในการนมาทำเป็นเครื่องประดับ ข้อดีที่ชัดเจนของการลงทุนในทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณเมื่อเทียบกับการลงทุนในทองคำรูปแบบอื่นๆ ก็คือการถือครองทองคำที่สามารถจับต้องได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองคำรูปพรรณที่สามารถนำมาสวมใส่ได้ในระหว่างที่ลงทุนอีกด้วย แต่นักลงทุนก็ต้องจ่ายค่ากำเหน็จซึ่งเป็นค่าแรงหรือค่าจ้างในการนำทองคำไปจัดทำให้มีลวดลายเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ค่ากำเหน็จอาจเป็นจำนวนเงินตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพัน ทำให้การขายทองคำเพื่อทำกำไรอาจต้องขาดทุนจากค่ากำเหน็จ อย่างไรก็ตามนักลงทุนที่กังวลใจว่าการลงทุนในทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณอาจเกิดการสูญหายไม่สะดวกในการเก็บรักษา ก็อาจทำการลงทุนในตั๋วทองคำที่ร้านทองเป็นผู้ออกตั๋วแทนการถือครองทองคำโดยตรง อย่างไรก็ตามการลงทุนผ่านตั๋วทองคำอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในกรณีที่ร้านค้าผู้ออกตั๋วทองคำ อาจไม่มีทองคำจริงรองรับการออกตั๋วทองคำดังกล่าว นักลงทุนจึงอาจต้องพิจารณาความเชื่อถือของร้านค้าผู้ออกตั๋วทองคำให้ดี นอกจากนั้นนักลงทุนก็ยังอาจลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวม ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจะนำเงินของนักลงทุนรายย่อยแต่ละรายมารวมกันเพื่อนำไปลงทุนในทองคำอีกต่อหนึ่ง โดยอาจเป็นการลงทุนในทองคำต่างประเทศหรือเป็นการลงทุนในกองทุน รวมทองคำของต่างประเทศอีกต่อหนึ่ง ทั้งนี้ข้อดีของการลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวมจะทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนด้วยจำนวนเงินที่ไม่สูงมากนัก โดยอาจใช้จำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 500 บาทเท่านั้น ส่วนนักลงทุนที่ต้องการอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำที่สูงและสามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนที่สูงมากเช่นกัน ก็อาจเลือกลงทุนใน Gold Futures ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จะได้รับผลตอบแทนตามราคาที่ทองคำเปลี่ยนแปลงไป โดยหากคาดว่าราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นก็ทำการซื้อ Gold Futures แต่ถ้าหากคาดว่าราคาทองคำจะลดลงก็สามารถทำการขาย Gold Futures ทำให้สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง นอกจากนั้นยังใช้เงินลงทุนจำนวนไม่มาก โดยอาจใช้เงินวางประกันขั้นต้นเพียง 4,940 บาท สำหรับการซื้อขายทองคำล่วงหน้าจำนวน 10 บาท หรือเทียบเป็นจำนวนเงินที่ลงทุนในทองคำโดยตรงประมาณ 200,000 บาท   AUTHOR : ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม            
สุภาษิตไทยที่บอกว่า ‘เวลาและวารีไม่เคยรอ’ ยังเป็นความจริงเสมอ แค่เพียงพริบตาเดียว ปฏิทินเดินทางมาถึงกลางปีแล้ว ใครที่ตั้งใจวางแผนกำหนดเป้าหมายชีวิตในปีนี้อาจต้องกลับมาทบทวนกันบ้างว่า ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่กำหนดหรือไม่ แผนทางการเงินที่แต่ละคนมีการกำหนดกันไว้ตั้งแต่ต้นปีควรมีการนำมาทบทวนเช่นกัน ว่ามีการดำเนินการไปตามแผนที่ตั้งเอาไว้แล้วหรือยัง Biz Buzz ฉบับนี้เลยจะพามาติดตามอัตราผลตอบแทนจากการออมและการลงทุนในทางเลือกต่างๆ สำหรับช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง   1. บัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์  อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินรับฝาก และถ่วงน้ำหนักด้วยยอดคงค้างเงินรับฝากครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 เท่ากับ 1.29% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน สูงสุดของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกเท่ากับ 1.80% ต่อปี ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ต่ำสุดของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกเท่ากับ 0.25% ต่อปี   2. พันธบัตรรัฐบาล อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเภทพันธบัตรเงินกู้ในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 เมื่อพิจารณาผลขาดทุนจากราคาพันธบัตรรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงไปรวมกับดอกเบี้ยที่นักลงทุนได้รับจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ส่งผลทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 นักลงทุนจะมีผลขาดทุน 1.25%   3. หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ สิ้นปี พ.ศ. 2560 ปิดที่ระดับ 1,753.71 ในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการเคลื่อนไหวผันผวน ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากสงครามการค้าโลกที่เริ่มขยายวงกว้างขึ้น ส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการเคลื่อนไหวสูงสุดที่ระดับ 1,852.51 ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 และต่ำสุดที่ระดับ 1,584.68 ในวันที่ 29 มิถุนายน 2561 โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันสุดท้ายของครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 ปิดไปที่ระดับ 1,595.58  ดังนั้น ราคาเฉลี่ยของหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 จึงลดลง 9.02% แต่เนื่องจากนักลงทุนยังได้รับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 เท่ากับ 1.69% ต่อปี ส่งผลทำให้อัตราตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 มีผลขาดทุน 7.33%   4. ทองคำ ราคาทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 96.5% ที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2561 มีราคารับซื้อบาทละ 20,000 บาท และมีราคาขายบาทละ 20,100 บาท ในขณะที่วันที่ 30 มิถุนายน 2561 มีราคารับซื้อบาทละ 19,550 บาท และมีราคาขายบาทละ 19,650 บาท นั่นหมายความว่าหากคุณซื้อทองคำสิ้นปีที่แล้ว และขายไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา คุณจะขาดทุนจากการลงทุนในทองคำ 2.74%   5. น้ำมัน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2561 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาเมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2560 ที่ 66.82 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เป็น 76.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลทำให้นักลงทุนได้รับอัตราผลตอบแทนสูงถึง 14.64%  ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2561 น้ำมันหรือทองสีดำ (Black Gold) จึงกลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาวของนักลงทุนชาวไทย แต่คงจะต้องติดตามกันต่อว่าในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2560 ทางเลือกการลงทุนอื่นๆ จะสามารถสร้างผลตอบแทนพลิกจากขาดทุนกลายเป็นกำไรได้หรือไม่     ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม 
ไลฟ์สไตล์คนกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ชีวิตกลายเป็นมนุษย์ดิจิทัลที่ต้องพึ่งพาระบบอิเล็คโทรนิกส์แทบจะตลอด 24 ชั่วโมง    ตื่นเช้าออกไปทำงานขึ้นรถไฟฟ้าก็สามารถติ๊ดบัตรโดยสารเข้าออกสถานีโดยไม่ต้องต่อแถวแลกเงินซื้อตั๋วโดยสารอีกต่อไป พอถึงออฟฟิศก็แวะซื้อกาแฟแล้วจ่ายเงินผ่านแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือ  เวลากลางวันก็สั่งอาหารเดลิเวอรีโดยจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต ช่วงบ่ายก็ทำการชำระค่าสินค้าหรือบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่างวดผ่อนคอนโดมิเนียม ค่าโทรศัพท์ รวมทั้งโอนเงินผ่านดิจิทัลแบงกิ้งที่ฟรีค่าธรรมเนียมทุกรายการ  สงครามแย่งชิงลูกค้าที่ไม่ต้องการถือครองเงินสดจึงร้อนระอุขึ้น Cashless Society ทั้งจากธนาคารพาณิชย์ที่ต้องการรักษาแชมป์ช่องทางการชำระเงินแบบดั้งเดิม กับผู้ท้าชิงรายใหม่ๆ ที่พึ่งพาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามาเป็นผู้ให้บริการชำระเงินผ่านออนไลน์ ยุคแห่งสงครามดิจิทัลแบงก์กิ้งและการชำระเงินออนไลน์จึงเป็นจังหวะที่ผู้บริโภคในยุค 4.0 สามารถรับสิทธิประโยชน์และได้รับเงินคืนอย่างเป็นกอบเป็นกำถ้าหากคอยติดตามข่าวสารต่างๆ อย่างไม่กะพริบตา เริ่มกันที่ Rabbit Line Pay กระเป๋าเงินออนไลน์ไว้ใช้สำหรับการโอนเงินผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ แต่สามารถให้บริการชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการตามร้านค้าต่างๆ มากมาย  Rabbit Line Pay ออกโปรโมชั่นพิเศษ เอาใจคนไทยยุค 4.0 ให้ลดการถือครองเงินสดด้วยการจูงใจให้เงินคืน 20 บาท เมื่อชำระค่าอาหารหรือเครื่องดื่มตั้งแต่ 40 บาทขึ้นไป จากราคาสุทธิหลังหักส่วนลด ที่ The Mall Food Hall สาขาเอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์, สยามพารากอน, เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน, เดอะมอลล์ บางแค, เดอะมอลล์ บางกะปิ และเดอะมอลล์ ท่าพระ ระหว่าง วันที่ 1 มิถุนายน-31 สิงหาคม 2561 โดยจำกัดเงินคืนเข้ากระเป๋าเงิน Rabbit LINE Pay 20 บาทต่อครั้ง และ 300 บาท ตลอดระยะเวลาโปรโมชั่น ผู้บริโภคที่แฮปปี้กับชีวิตไร้เงินสดช่วงนี้ยังมีโอกาสได้รับเงินคืนอีกแบบง่ายๆ เพียงแค่ใช้จ่ายด้วย QR Code ผ่านแอพ SCB Easy ตั้งแต่วันนี้-31 กรกฎาคม 2561 ใน กูร์เมต์ มาร์เก็ต และโฮม เฟรช มาร์ท ครบ 500 บาท จะได้รับเงินคืนเข้าบัญชีวันถัดไป 100 บาท หรือทานอาหารที่ฟู้ดคอร์ททุกสาขา ในเครือเดอะมอลล์กรุ๊ป 60 บาท จะได้รับคืนเข้าบัญชีวันถัดไป 20 บาท หรือซื้อบัตร Food Court Plus Card แบบไม่แลกเงินคืน 150 บาท จะได้รับเงินคืนเข้าบัญชีวันถัดไป 50 บาทเช่นกัน ทั้งนี้จะจำกัดเครดิตเงินคืนสูงสุด 150 บาท/ วัน/ บัญชีนะครับ ฟากของบัตรเครดิตที่เคยเป็นเครื่องมือการใช้จ่ายผ่านเงินพลาสติกโดยไม่ต้องถือเงินสดเองก็ยังเป็นอีกช่องทางที่คนไทยยุค 4.0 สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารการใช้จ่ายโดยได้รับเงินคืนผ่านคะแนนที่สามารถนำไปแลกเป็นสินค้าหรือบริการต่างๆ  สำหรับคนที่มองหาบัตรเครดิตที่แลกคะแนนได้ไวในช่วงนี้คงต้องเหลียวมามองที่ธนาคารธนชาตซึ่งออกบัตรเครดิต Black Diamond โดยทุกๆ การใช้จ่ายครบ 25 บาทจะได้รับคะแนนสะสม T-Rewards 1 คะแนน แต่ถ้าหากเป็นการใช้จ่ายผ่านบัตรในต่างประเทศ จะคูณคะแนนให้ 6 เท่า ซึ่งคิดเป็นเงินคืน 2.4% ในขณะที่การใช้จ่ายผ่านหมวดท่องเที่ยวและหมวดร้านอาหารจะได้รับคะแนนคูณให้ 4 เท่า และ 2 เท่า ซึ่งคิดเป็นเงินคืน 1.6% และ 0.8% ตามลำดับ อย่างไรก็ตามความสะดวกสบายและสิทธิประโยชน์พิเศษมากมายจากเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ของสังคมไร้เงินสดในปัจจุบัน ก็ยังมีข้อควรระวังเช่นกัน เนื่องจากการใช้จ่ายผ่านระบบออนไลน์โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินสดในหลายๆ ประเทศ พบว่ามักตามมาด้วยสถิติการฉ้อโกงและอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตที่เพี่มขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่ภัยร้ายที่อันตรายที่สุดคงหนีไม่พ้นใจของผู้ใช้เองที่ต้องควบคุมให้ดี ยิ่งมีความสะดวกสบายในการใช้จ่ายมากเท่าใด เงินเก็บเงินออมที่มีอยู่รวมไปถึงเงินได้จากอนาคตก็อาจถูกนำไปใช้จ่ายตอบสนองกิเลสความต้องการเฉพาะหน้าจนบดบังเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น เป้าหมายทุนการศึกษาสำหรับบุตร เป้าหมายสำหรับวัยเกษียณ ฯลฯ การใช้สตางค์จึงต้องระมัดระวังให้เกิดขึ้นควบคู่กับการใช้สติเสมอนะครับ  สงคราม Cashless Society ถึงจะทำให้คุณเหลือ Cashback ใน E-wallet คืนสู่กระเป๋าอย่างแท้จริง   ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม สามารถติดตามอ่านเรื่องการวางแผนและลงทุนทางการเงินเป็นประจำได้ที่นี่ Rabbit Today
Wednesday, 07 November 2018 03:53

Financial Planning 4.0

Financial Planning 4.0   ตั้งแต่โลกใบนี้ถือกำเนิดขึ้นมาในจักรวาลก็หมุนรอบตัวเองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ ส่งผลทำให้โลกใบนี้หมุนผ่านยุคต่างๆ มาแล้วมากมาย   เริ่มต้นตั้งแต่โลกในยุคเกษตรกรรม 1.0 เดินทางข้ามกาลเวลาเข้าสู่โลกในยุค 2.0 ที่เริ่มต้นด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรม และมีการพึ่งพาระบบอิเล็กโทรนิคส์มากขึ้นในโลกยุค 3.0 กระทั่งปัจจุบันที่โลกนี้ก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 IoT Internet of Things หรืออินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง กลายเป็นโลกที่หาเส้นแบ่งพรมแดนแบ่งกั้นขอบเขตของแต่ละประเทศแทบไม่เจอ ส่งผลทำให้ภัยต่างๆ รวมทั้งวิกฤตเศรษฐกิจที่คุกคามประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถส่งผลกระทบไปยังอีกประเทศหนึ่งที่อยู่คนละขอบฟ้าแทบจะทันทีทันใด รูปแบบการใช้ชีวิตแบบสังคมเมืองพบเห็นได้ทั่วไปในสังคมชนบท กลายเป็นสังคมที่ทุกคนต่างคนต่างอยู่ และกลายเป็นคนที่แทบจะไร้ตัวตนในโลกแห่งความเป็นจริง ฝังทั้งชีวิตและจิตวิญญาณไว้ในโลกดิจิตอล มีเพื่อนอยู่ในโลกดิจิตอล พูดคุยกับเพื่อนในโลกดิจิตอล สะสมความมั่งคั่งไว้ในอากาศ กลายเป็นสังคมไร้เงินสด และแม้กระทั่งจัดงานศพและกราบไหว้บรรพบุรุษ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผ่านระบบดิจิตอล โลกในยุค 4.0 ทำให้ทุกชีวิตต้องดิ้นรนขวนขวายหาเงินมาตอบสนองความต้องการและความจำเป็นตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง 7 วันในสัปดาห์อย่างต่อเนื่องทุกเดือนทุกปี ตื่นเช้ามาล้างหน้าแปรงฟันก็ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟ รีบเร่งขึ้นวินมอเตอร์ไซค์ที่คนขับเป็นคนแปลกหน้าเพื่อไปเข้างานให้ทันเวลาก็ต้องจ่ายค่าเดินทาง ระหว่างวันต้องจ่ายทั้งค่าอาหารเช้า กลางวันและเย็น ซึ่งบางครั้งเพียงแค่ค่าน้ำดื่มดับกระหายระหว่างวันก็แพงกว่าค่าอาหารและค่าน้ำมัน แม้กระทั่งยามหลับตานอนไม่รู้ตัวก็ยังต้องจ่ายค่าแอร์และค่าไฟฟ้า เพราะต้องนอนปิดประตูและหน้าต่างพร้อมกับเปิดไฟให้ส่องสว่างรอบบ้าน เพื่อป้องกันภัยจากโจรขโมยที่อยู่ปะปนกับคนข้างบ้านที่เราอาจไม่รู้จัก ไม่เคยพูดคุย รวมไปถึงค่าโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตแพ็กเกจรายเดือนที่ไม่ว่าจะไม่ได้ใช้ หรือใช้เพียงบางส่วนก็ต้องจ่ายเงินเต็มแพ็กเกจ เพราะอาจทบไปใช้ต่อเดือนหน้าไม่ได้ คุณเคยคำนวณไหมว่าค่าใช้จ่ายยุค 4.0 ในแต่ละวันแต่ละเดือนแต่ละปีรวมแล้วเป็นจำนวนเงินเท่าไร แล้วยิ่งถ้าลองคูณด้วยอายุขัยที่เหลืออยู่ท่ามกลางยุค 4.0 ที่ความก้าวหน้าทางการแพทย์และโภชนาการ อาจทำให้มนุษย์ตายหลังจากลืมตามาดูโลกใบนี้ผ่านไปเป็นศตวรรษ เห็นคำตอบแล้วบางคนอาจต้องการย้อนกลับไปอาศัยอยู่ในยุคหินโครมันยองที่อายุขัยสั้นเพียงแค่ไม่ถึง 20 ปี จำนวนเงินที่ต้องใช้มากมายมหาศาลกลับสวนทางกับรายได้ที่หาได้ในยุค 4.0 ที่ความก้าวหน้ามาพร้อมกับ Disruptive Technology ที่ AI (Artificial Intelligence) พร้อมจะกวาดล้างอาชีพและองค์กรที่ตั้งตระหง่านมานานนับร้อยๆ ปีให้มลายหายไปในเวลาเพียงพริบตาเดียว คนไทยในยุค 4.0 จึงต้องเรียนรู้ที่จะวางแผนการเงินตั้งแต่การหารายได้จากการทำงานด้วยการหาลู่ทางที่จะพัฒนางานที่ทำอยู่ให้มีความมั่นคง โดยหมั่นเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ลงไปในทุกขั้นตอนนอกเหนือไปจากทักษะทั่วไป เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบดิจิตอลเข้ามาแทนที่ คนไทยในยุค 4.0 จึงต้องเรียนรู้ที่จะวางแผนการเงินให้ความมั่งคั่งที่สร้างมาอย่างยากลำบากไม่หายไปในพริบตา ด้วยความต้องการใช้จ่ายที่ถูกทำให้เกิดความอยากได้อย่างง่ายดายผ่านการกระตุ้นกิเลสด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดและโปรโมชั่นที่นำเสนอตลอด 24 ขั่วโมงผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆในโทรศัพท์มือถือ ท่องคาถาไว้ว่า ‘จำเป็นหรือต้องการ’ ทุกครั้งที่คุณกำลังจะซื้อสินค้าหรือบริการเสมอ คนไทยในยุค 4.0 จึงต้องเรียนรู้ที่จะเพิ่มแหล่งรายได้จากการลงทุนนอกเหนือจากรายได้จากหน้าที่การงาน เพื่อต่อยอดความมั่งคั่งให้มีเงินเพียงพอใช้ตลอดอายุขัยหลังเกษียณ ซึ่งรายได้จากการทำงานเพียงลำพังอาจไม่เพียงพอ พันธบัตร หุ้นกู้ หุ้นสามัญ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมอาจเป็นตัวช่วยต่อยอดความมั่งคั่งที่ทุกคนต้องรู้จักราวกับว่าเป็นเพื่อนสนิทที่คุ้นเคย คนไทยในยุค 4.0 จึงต้องเรียนรู้ไม่ให้อุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่ระบาดทั่วโลกได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วมาทำลายความมั่งคั่งที่สร้างมาด้วยหยาดเหงื่อและแรงใจ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ บ้าน สุขภาพ และกรมธรรม์ประกันชีวิตสำหรับคนไทยในยุค 4.0 จึงอาจต้องเข้ามาทำหน้าที่แทนยันต์คุ้มภัยที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีตั้งแต่ยุค 1.0 รวมทั้งคนไทยในยุค 4.0 ที่กรมสรรพากรสามารถจับติดทุกความเคลื่อนไหวทางการเงิน จึงต้องเรียนรู้ที่จะทำการวางแผนภาษี เพื่อลดภาระภาษีให้น้อยที่สุดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การปฏิวัติงานที่ทำด้วยความคิดสร้างสรรค์ การรู้จักกันความต้องการออกจากความจำเป็น การวางแผนประกัน การวางแผนภาษี การวางแผนการลงทุน และการวางแผนเกษียณ จึงเป็นการวางแผนการเงินที่จะทำให้คนไทยในยุคนี้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน   ผู้เขียน ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม