Wealthy Plan

Wealthy Plan (23)

รู้จักและสร้างความมั่งคั่ง ให้ชีวิตด้วย "Wealth Plan"

วางแผนการเงินอย่างไรให้มั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล CFP®ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ กรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย 17 ตุลาคม ค.ศ. 1987 ประชาชนกว่า 100,000 คนมารวมตัวกัน ณ จัตุรัสสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อให้เกียรติแก่เหยื่อของความยากจน ความอดอยาก ความรุนแรงและความกลัว หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1992 องค์การสหประชาชาติจึงกำหนดให้วันที่ 17 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันเพื่อการขจัดความยากจนระหว่างประเทศหรือวันยุติความยากจนสากล (International Day for the Eradication of Poverty)การพึ่งพาตนเองและรู้จักความพอเพียงเท่านั้นที่จะเป็นหนทางการขจัดความยากจนอย่างยั่งยืน ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ ว่า “เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลาและสอนให้รู้จักวิธีตกปลาจะดีกว่า”บันได 4 ขั้นที่เป็นแนวทางการขจัดความยากจนแบบง่ายๆ ที่ทุกคนเริ่มต้นทำได้ด้วยตนเอง เพื่อให้ชีวิตมีความมั่งคั่งมีความมั่นคงและยั่งยืนมีดังนี้ การสร้างความมั่งคั่ง การขจัดความยากจนต้องเริ่มต้นจากการรู้จักประกอบสัมมาชีพให้ได้รายได้มาเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว แต่การหารายได้ให้สร้างความมั่งคั่งเพื่อขจัดความยากจนให้หมดลงอย่างสิ้นเชิง ก็จะต้องเป็นการประกอบอาชีพที่เรารักและถนัด รวมทั้งเป็นอาชีพที่ยังอยู่ในความต้องการของตลาดแรงงาน การทดสอบความถนัดทางอาชีพรวมไปถึงการค้นหาแนวทางในการประกอบธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ในปัจจุบันสามารถค้นหาได้อย่างง่ายดายผ่านทางอินเตอร์เน็ตในยุคประเทศไทย 4.0 เพียงแค่ว่าเรามุ่งมั่นที่จะตั้งต้นค้นหาวิถีการสร้างรายได้ที่เหมาะกับเราหรือยังเท่านั้นเอง การปกป้องความมั่งคั่ง บางครั้งความยากจนอาจไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความขี้เกียจ หากแต่บางครั้งก็เกิดขึ้นเพราะโชคชะตา หลายคนหลายครอบครัวอาจยากจนจากเหตุที่ไม่คาดฝันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บต่างๆที่ทำให้ต้องเสียทรัพย์ เสียสุขภาพที่จะรายได้ในอนาคต เสียชีวิตของเสาหลักที่ค้ำจุนครอบครัว การวางแผนการประกัน ไม่ว่าจะเป็น การทำประกันชีวิต การทำประกันสุขภาพ และการทำประกันวินาศภัยที่อาจเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินมีค่าต่างๆ จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะทำให้สามารถขจัดความยากจนแบบที่ไม่คาดฝันได้ การต่อยอดความมั่งคั่ง การขยันประกอบสัมมาชีพในปัจจุบันก็อาจไม่ได้เป็นการรับประกันว่าจะเป็นการขจัดยากจนได้อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากในปัจจุบันราคาสินค้า/บริการต่างๆ โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมาก ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากเหลือเกือบจะเป็นศูนย์ นอกจากนั้นแล้วคนไทยก็ยังมีอายุขัยยืนยาวมากขึ้น รวมทั้งบางคนก็อาจไม่มีลูกหลานดูแลยามแก่ชรา ซึ่งอาจส่งผลทำให้หลายคนต้องกลายเป็นคนยากจนในวัยหลังเกษียณ การขจัดความยากจนในช่วงอายุขัยที่เหลือที่แต่ละคนอาจไม่มีงานทำ อาจไม่มีลูกหลานดูแล แต่ยังต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตที่เพิ่มขึ้นทุกๆปี จึงต้องอาศัยการวางแผนการลงทุนเพื่อต่อยอดความมั่งคั่งไว้ใช้ในวัยหลังเกษียณ การถ่ายโอนความมั่งคั่ง การขจัดความยากจนอย่างยั่งยืนเพื่อให้มั่นใจว่าลูกหลานจะไม่กลายเป็นผู้ยากไร้ ก็ต้องรู้จักถ่ายโอนความมั่งคั่งไปยังทายาทให้เสียภาษีให้ถูกสตางค์และถูกกฎหมาย รวมทั้งวางแนวทางในการจัดการมรดก เขียนธรรมนูญครอบครัวเพื่อเป็นแนวทางในการขจัดความยากจนไปจนชั่วลูกชั่วหลานบันได 4 ขั้นเพื่อขจัดความยากจนอาจเคยได้ยินมาบ้างแล้ว แต่ทำไมหลายคนก็ยังไม่สามารถขจัดความยากจนได้อย่างสิ้นเชิงเสียที นั่นก็เพราะหลายคนเพียงแค่ฟังและคิด แต่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง เคล็ดลับความสำเร็จของการขจัดความยากจนจึงอยู่ที่ประโยคสั้นๆว่า “Just Do It” เริ่มต้นค้นหาความรู้และแนวทางในการขจัดความยากจน และทำมันเดี๋ยวนี้ครับ www.thaipfa.co.thศูนย์อบรม ThaiPFA
4 Steps สู่การเป็นนักวางแผนการเงิน หลายปีที่ผ่านมานี้หลายคนอาจคุ้นเคยกับคุณวุฒิวิชาชีพนักวางแผนการเงิน CFP กันเป็นอย่างดีแล้ว แต่บางคนยังอาจสงสัยว่าทำไมจึงควรไว้วางใจให้นักวางแผนการเงิน CFP รับผิดชอบสร้างฝันในชีวิตให้เป็นความจริง ศูนย์อบรม ThaiPFA จะมาเฉลยให้ทราบว่าสาเหตุที่เราควรไว้วางใจนักวางแผนการเงิน CFP นั่นเพราะว่ามีบันได 4 ขั้นที่จะช่วยบ่มเพาะให้เราเชื่อได้ว่า นักวางแผนการเงินคุณวุฒิวิชาชีพ CFP จะสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีความรู้ความสามารถและวางแผนการเงินเพื่อลูกค้า/ผู้รับคำปรึกษา 4 Steps ตามเกณฑ์การรับรองคุณวุฒิวิชาชีพที่สมาคมนักวางแผนการเงินไทย กำหนดไว้สำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นนักวางแผนการเงิน CFP มีรายละเอียดดังนี้ • การศึกษา (Education) นักวางแผนการเงิน CFP จะต้องมีความรู้ด้านการวางแผนการเงินในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง โดยต้องเข้ารับการอบรมความรู้ 6 ชุดวิชา ได้แก่ พื้นฐานการวางแผนการเงินฯ การวางแผนการลงทุน การวางแผนการประกัน การวางแผนวัยเกษียณ การวางแผนภาษีและมรดก และการจัดทำแผนการเงิน ทั้งนี้ผู้ที่สนใจเข้ารับการอบรมสามารถติดตามรายละเอียดการอบรมได้ที่ ศูนย์อบรมThaiPFA www.thaipfa.com • การสอบ (Examination) นักวางแผนการเงิน CFP จะต้องผ่านการสอบหลักสูตรการวางแผนการเงิน CFP เพื่อประเมินความสามารถในการนำความรู้ และทักษะจากการอบรมไปประยุกต์ใช้สำหรับการวางแผนการเงิน ศูนย์สอบสมาคมนักวางแผนการเงินไทย www.tfpa.or.th • ประสบการณ์การทำงาน (Experience) สมาคมฯ กำหนดให้นักวางแผนการเงิน CFP จะต้องมีประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการให้บริการวางแผนการเงินแก่ลูกค้า เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีความรู้ และความสามารถในเชิงปฏิบัติ สอบถามได้ที่สมาคมนักวางแผนการเงินไทย www.tfpa.or.th • จรรยาบรรณ (Ethics) นักวางแผนการเงิน CFP และผู้สมัครขอรับรองคุณวุฒิวิชาชีพนักวางแผนการเงิน CFP (“ผู้สมัคร”) จะต้องปฏิบัติตามประมวลจรรยาบรรณและความรับผิดชอบในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพวางแผนการเงินเพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด รวมทั้งได้รับความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากลูกค้า สนใจอบรมศูนย์อบรมThaipfa www.thaipfa.co.th
รู้ไหมวันนี้ผู้สูงอายุเป็นสิ่งสากล    วันที่ 1 ตุลาคม ถือเป็นวันผู้สูงอายุสากล และถ้าจะพูดต่อไปอีกว่า วันนี้สำหรับทุกๆ ประเทศ การพบเห็นผู้สูงอายุทั่วบ้านทั่วเมืองทุกมุมของโลกได้กลายเป็นสิ่งสากลไปแล้ว   วิทยาการความก้าวหน้าทางการแพทย์ และโภชนาการได้ทำให้อายุขัยของมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป และผู้สูงอายุในยุคนี้จะอยู่กันเป็นหลักศตวรรษไม่ใช่ทศวรรษอีกด้วย การวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ จึงเป็นแนวคิดที่เกิดจากความต้องการในการสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ตั้งแต่เริ่มต้นทำงานได้จนกระทั่งเกษียณจนตายในที่สุด โดยไม่ต้องเป็นภาระกับลูกหลานหรือสังคม ซึ่งในยุคปัจจุบันหลายๆ คนอาจไม่มีลูกหลานมาดูแล หรือไม่แน่ใจว่า ลูกหลานจะดูแลเราได้จริงหรือไม่ การวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ จึงเป็นกระบวนการที่แต่ละคนจะต้องกำหนดมาตรฐานการครองชีพที่ต้องการหลังเกษียณ เพื่อคำนวณเงินที่ต้องการ ณ วันที่เกษียณ แล้ววางแผนในการออมและการลงทุน ตั้งแต่ปัจจุบันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามจำนวนเงินที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการวางแผนทางการเงินเป็นกระบวนการที่อาจต้องใช้ระยะเวลา 20 – 30 ปี หลายๆ คนจึงมักมองข้ามความสำคัญของการวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ เนื่องจากคิดว่าเป็นเรื่องของอนาคตที่ยังอยู่ห่างไกล ส่งผลทำให้ละเลยไปเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยเข้าใกล้วัยเกษียณจึงค่อยมาตื่นตัว แต่นั่นก็อาจสายจนเกินไป เพราะเงินจำนวนมากมายที่คุณต้องการใช้หลังเกษียณก็จำเป็นต้องใช้การสะสมเป็นเวลานานเช่นกัน การวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ จึงเป็นกระบวนการที่ต้องเริ่มต้นทันที ตั้งแต่วันที่คุณเริ่มต้นทำงาน โดยอาจกำหนดเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. การเตรียมความพร้อมสำหรับการวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ ก่อนที่คุณจะวางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณ คุณต้องเตรียมเงินไว้ใช้จ่ายในยามฉุกเฉินให้เพียงพอก่อน อย่างน้อยเก็บเงินสด ซึ่งอาจอยู่ในรูปของบัญชีเงินฝากให้พอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายให้ได้สัก 6 เดือน และทำประกันภัย ทั้งรถยนต์ ที่พักอาศัย สุขภาพ และชีวิตให้ครบถ้วน เพื่อที่ว่าเงินที่ลงทุนไว้ใช้หลังเกษียณ จะได้ไม่ต้องถูกนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวลาที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน อุบัติเหตุ หรือเจ็บไข้ได้ป่วย  2. การคาดการณ์จำนวนเงินที่ต้องการใช้ทั้งหมดหลังเกษียณ ทั้งนี้คุณต้องเริ่มคาดการณ์อายุขัยเฉลี่ยของตนเอง โดยอาจดูแนวทางจากอายุขัยเฉลี่ยของคนไทย แล้วทำการปรับประมาณการอายุขัยเฉลี่ยโดยดูจากประวัติสุขภาพของตนเอง รวมทั้งอายุขัยของบุคคลอื่นๆ ในครอบครัว  หลังจากนั้นคุณต้องตั้งเป้าหมายว่า จะเกษียณเมื่ออายุเท่าใด ซึ่งจะทำให้เห็นตัวเลขคร่าวๆ ว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณอีกกี่ปี แล้วจึงทำการกำหนดมาตรฐานการครองชีพที่ต้องการหลังเกษียณ โดยลองคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่คุณต้องการใช้หลังเกษียณในแต่ละปี แต่อย่าลืมว่า ค่าใช้จ่ายบางส่วนอาจเพิ่มขึ้น เช่น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพและการท่องเที่ยว ในขณะที่อาจมีค่าใช้จ่ายบางส่วนลดลง เช่น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย  ในการประมาณการค่าใช้จ่ายที่ต้องการหลังเกษียณ คุณต้องเผื่อค่าใช้จ่ายให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะกว่าที่คุณจะเกษียณในอีก 20–30 ปีข้างหน้านั้น ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงอาจปรับตัวมากขึ้นหลายเท่าตัวจากอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจมีรายได้จากแหล่งต่างๆ ไว้ใช้หลังเกษียณ ไม่ว่าจะเป็นเงินบำเหน็จบำนาญชราภาพจากกองทุนประกันสังคม รวมทั้งเงินสะสมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำหรับลูกจ้าง/พนักงาน หรือเงินบำเหน็จบำนาญจากกระทรวงการคลัง รวมทั้งเงินสะสมจากกองทุนกบข. สำหรับข้าราชการ  3. การวางแผนการออมและการลงทุน เมื่อคุณรู้จำนวนเงินทั้งหมดที่ต้องการหลังเกษียณ ก็จะต้องทำการเฉลี่ยสะสมจำนวนเงินที่ต้องการ โดยตั้งเป้าหมายในการออมให้ได้ในแต่ละเดือน ก่อนที่จะนำเงินเดือนที่ได้รับไปใช้จ่าย ทั้งนี้คุณสามารถเก็บเงินในแต่ละเดือนให้น้อยลงได้ ถ้าหากคุณรู้จักนำเงินเก็บนั้นไปลงทุนให้เหมาะสม เพื่อให้ได้ดอกผลมาช่วยลดจำนวนเงินสะสมที่ต้องการ  เพียงเท่านี้ก็จะช่วยทำให้คุณสามารถดำรงชีวิตหลังเกษียณอยู่ได้ โดยไม่ต้องอาศัยความเมตตาผ่านรายการโทรทัศน์แล้วละครับ   AUTHOR : ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม 
ความเสี่ยงของบัญชีเงินฝากในยุค 4.0   โลกและประเทศไทยในยุค 4.0 เป็นช่วงเวลาที่ความเปลี่ยนแปลงกลายเป็นความปกติที่เราสามารถพบเจอได้ทุกวัน คำว่า Disruption กลายเป็นคำคุ้นเคยที่เกิดขึ้นกับเกือบทุกอุตสาหกรรม รวมทั้งอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ที่ค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยมก็ถูกความเปลี่ยนแปลงเข้ามาเขย่าจนปั่นป่วน   เพียงแค่ไม่กี่วันที่ผ่านมา บางคนอาจยังไม่รู้ว่าความคุ้มครองของบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ที่คุณมีอยู่ได้ถูกลดลงไปสำหรับบางคนแล้วอีกประมาณ 1 ใน 3 ของวงเงินที่ได้รับความคุ้มครองเดิม  ก่อนอื่นคงต้องเท้าความกันยาวไปถึง ในช่วงปี พ.ศ. 2540 ซึ่งระบบสถาบันการเงินของไทยต้องประสบปัญหาจนลุกลามกลายเป็นวิกฤติทางการเงินโด่งดังไปทั่วโลก พลอยทำให้อาหารไทยโด่งดังไปทั่วโลกเพราะวิกฤติทางการเงินดังกล่าวรู้จักกันดีในชื่อของ วิกฤติต้มยำกุ้ง (Tom Yum Kung Crisis) และส่งผลทำให้รัฐบาลในขณะนั้นได้ออกมติ ครม. คุ้มครองเงินฝากของผู้ฝากทุกคนที่มีอยู่ในสถาบันการเงินต่างๆ เต็มจำนวน เพื่อเป็นการเรียกความเชื่อมั่นของผู้ฝากและเจ้าหนี้รวมทั้งนักลงทุนต่างๆ ต่อระบบทางการเงินให้กลับคืนมา อย่างไรก็ตามการที่รัฐคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนก็อาจส่งผลให้สถาบันการเงินประกอบธุรกิจที่สุ่มเสี่ยงเกินไป เพราะผู้ฝากจะไม่พิจารณาความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงินก่อนที่จะทำการฝากเงิน เนื่องจากเห็นว่าได้รับความคุ้มครองเต็มจำนวนจากรัฐฯ  การจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากจึงเป็นการลดภาระ (ผูกพัน) ทางการเงินของรัฐที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งก็จะเป็นภาระของผู้เสียภาษีในที่สุด และเป็นการควบคุมสถาบันการเงินจากการใช้กลไกตลาดให้มีการดำเนินงานที่รอบคอบมากขึ้น ยังเป็นการเพิ่มเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินอีกด้วย  เนื่องจากถ้าหากยกเลิกมาตรการคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนแล้วไม่มีการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากขึ้นมาดูแลเงินฝากของระบบสถาบันการเงิน อาจส่งผลทำให้เกิดการตื่นตระหนกและแห่กันไปถอนเงินฝากออกจากระบบสถาบันการเงิน จนเกิดเป็นวิกฤติทางการเงินรอบใหม่ขึ้นมาก็ได้ ทั้งนี้ สถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากประกอบด้วย  ธนาคารพาณิชย์ (รวมสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการในประเทศ) บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ส่วนสถาบันการเงินที่นอกเหนือจากประเภทที่กล่าวข้างต้น จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก เช่น สถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น และยังไม่ได้กำหนดในพระราชกฤษฎีกาให้เป็นสถาบันการเงินภายใต้การคุ้มครอง เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอาคารสงเคราะห์ เป็นต้น ทั้งนี้ สถาบันการเงินที่กล่าวมาเป็นสถาบันการเงินของรัฐ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เป็นต้น ผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง ได้แก่ เงินฝากที่เปิดไว้ที่สถาบันการเงินตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นที่เป็นเงินสกุลบาทและเป็นบัญชีเงินฝากภายในประเทศ ในปัจจุบันครอบคลุมถึง เงินฝากกระแสรายวัน  เงินฝากออมทรัพย์/ สะสมทรัพย์/ เผื่อเรียก  เงินฝากประจำ บัตรเงินฝาก และใบรับฝากเงิน วงเงินคุ้มครองเงินฝากซึ่งเป็นจำนวนเงินฝากที่ผู้ฝากเงินของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตจะได้รับคืนทันทีจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากในลำดับแรกภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด 30 วันหลังจากยื่นคำขอรับเงินได้มีการปรับลดลงเหลือเพียง 10 ล้านบาทต่อ 1 รายของผู้ฝากเงิน (ไม่ใช่ต่อ 1 บัญชี) ต่อ 1 สถาบันการเงินตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา และวงเงินคุ้มครองดังกล่าวจะลดลงเหลือเพียง 5 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2562 และในที่สุดจะลดลงเหลือเพียง 1 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป สำหรับจำนวนเงินฝากส่วนที่เกินวงเงินคุ้มครอง ผู้ฝากเงินจะมีโอกาสได้รับคืนเพิ่มเติมเมื่อการชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตเสร็จสิ้น ต่อไปนี้ก่อนฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง อย่าลืมเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับควบคู่ไปกับความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์แห่งนั้นๆ ด้วยนะครับ    AUTHOR : ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม 
อสังหาริมทรัพย์ ทางเลือกการลงทุนครึ่งปีหลัง 2018       หลังจาก Update การลงทุนครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2561 ซึ่งการลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีอัตราตอบแทนเฉลี่ยขาดทุน 7.33% และการลงทุนในพันธบัตรเงินกู้ของรัฐบาลมีอัตราผลตอบแทนขาดทุน 1.25% ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำเฉลี่ยครึ่งปีแรกเท่ากับ 1.29% ต่อปี   หลายคนจึงตั้งคำถามว่า แล้วจะมีทางเลือกการลงทุนอื่นๆ อีกบ้างไหมที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการอัตราผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์อาจเป็นอีกหนึ่งคำตอบสำหรับผู้ที่มองหาทางเลือกในการต่อยอดความมั่งคั่ง ทั้งนี้ 4 เหตุผลดีๆ ต่อไปนี้อาจทำให้นักลงทุนมองเห็นข้อดีหรือข้อได้เปรียบจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เมื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกการลงทุนอื่นๆ   1. ผลตอบแทน 2 ทาง นักลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนจากการเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนจากราคาที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และ/ หรือผลตอบแทนสม่ำเสมอจากค่าเช่า ทั้งนี้ อสังหาริมทรัพย์เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ ส่งผลทำให้ความต้องการอสังหาริมทรัพย์มีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณประชากรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้อสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่จะมีมูลค่าหรือราคาปรับสูงขึ้นเสมอ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุน อย่างไรก็ตามนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนประจำสม่ำเสมอก็อาจเลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีค่าเช่าตอบแทนการลงทุนสม่ำเสมอทุกๆ เดือน เช่น บ้านเช่า อพาร์ตเมนต์ หรือคอนโดมิเนียม รวมทั้งที่ดินที่ให้เช่าทำการเกษตรกรรมหรือพาณิชยกรรมต่างๆ 2. ผลตอบแทนรักษาอำนาจซื้อชดเชยอัตราเงินเฟ้อ การออมเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์หรือการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วๆ ไป นักลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนคงที่ประจำสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้า/ บริการที่เพิ่มขึ้นทุกปีทำให้บางครั้งอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าอัตราผลตอบแทนที่ได้รับการลงทุน และส่งผลทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับมีอำนาจซื้อที่ลดลง  อย่างไรก็ตามการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นั้นผลตอบแทนที่ได้รับจากค่าเช่ามักมีการกำหนดล่วงหน้าในสัญญาให้เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี หรือทุกๆ 3-5 ปี เพื่อชดเชยกับอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนั้นราคาอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีก็ส่งผลทำให้เงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาอสังหาริมทรัพย์ชดเชยกับอัตราเงินเฟ้อเช่นกัน   3. ผลตอบแทนกระจายความเสี่ยง เนื่องจากราคาของอสังหาริมทรัพย์มีความสัมพันธ์ที่ไม่สูงมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกการลงทุนในหลายทางเลือก ส่งผลทำให้การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับทางเลือกการลงทุนอื่นๆ ได้รับอัตราผลตอบแทนที่มีความผันผวนน้อยลง และถือได้ว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง 4. ผลตอบแทนพร้อมแหล่งเงินทุนสนับสนุน การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีความได้เปรียบทางเลือกการลงทุนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงแหล่งเงินทุนสนับสนุนจากสินเชื่อหรือเงินกู้ระยะยาวซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าและมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า เนื่องจากการสนับสนุนจากภาครัฐผ่านมาตรการในการลดหย่อนภาษีต่างๆ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนก็ยังสามารถใช้เป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินผู้ให้กู้ยืมอีกด้วย เหตุผลดีๆ มีมากมายขนาดนี้ ใครที่เคยมองข้ามการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็ควรจะชายตามาเปิดใจกับการกระจายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์บ้างนะครับ การกระจายไข่ในตะกร้าหลายใบจะช่วยทำให้วันที่ตะกร้าใบหนึ่งใบใดตกหล่น ไข่ในตะกร้าใบอื่นก็ยังคงไม่ตกแตกไปตามตะกร้าใบที่ตกนะครับ  Rabbit Today ขอฝากวลีเด็ดของนักการเงินที่มักพูดกันว่า Don't put all your eggs in one basket แต่อย่าประยุกต์ใช้แนวคิดนี้ไปกับเรื่องราวความรักละครับ เพราะหัวใจของคนมีดวงเดียว ไม่ใช่ไข่ที่จะกระจายใส่ตะกร้าหลายใบ   AUTHOR : ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม 
4 เหตุผลดีๆ กับการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ   เพียงแค่พริบตาเดียว วันเวลาในปี พ.ศ. 2561 ก็ล่วงมาจนถึงวันที่ 204 ของปีนี้แล้ว เวลาและวารีไม่เคยรอใครอย่างที่สุภาษิตไทยสอนเรากันไว้จริงๆ นะครับ และผมเชื่อว่าหลายคนซึ่งรวมทั้งตัวผู้เขียนเองด้วย เริ่มรู้สึกว่าเพียงแค่ไม่กี่พริบตา เราก็เดินทางมามากกว่าครึ่งทางของชีวิต   ล่าสุด สำนักงานสถิติแห่งชาติได้เปิดเผยว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 16.8 ของประชากรทั้งประเทศ และยังพบอีกว่า ร้อยละ 35.8 ของผู้สูงอายุทั้งหมดยังคงต้องทำงานต่อไป และแนวโน้มที่ผู้สูงอายุยังต้องทำงานนับวันก็จะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ  อย่างไรก็ตามผู้สูงอายุที่ยังสามารถทำงานต่อได้เป็นผู้สูงอายุที่ประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้างถึงร้อยละ 61.6 ในขณะที่เป็นลูกจ้างเอกชนและลูกจ้างรัฐบาลเพียงร้อยละ 12.2 และ 2.2 ตามลำดับ หลายคนมักคิดว่าการวางแผนเกษียณเป็นเรื่องของคนแก่ ไว้ใกล้ๆ เกษียณแล้วค่อยคิดกันอีกทีก็ได้ อีกตั้งนาน แต่จริงๆ แล้วมีอยู่ 4 เหตุผลว่าทำไมทุกคนควรจะต้องเริ่มวางแผนเกษียณกันตั้งแต่วันนี้   1. เราอาจไม่สามารถดูแลตัวเองได้ดี หรือไม่ได้เลยเมื่อเกษียณ สุขภาพกายของมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้แรงกายทำงานได้จนหมดลมหายใจ แต่ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวันก็ยังคงมีอยู่ต่อไปไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเครื่องนุ่งห่ม ค่าดูแลรักษาบ้าน และค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2557 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าในระหว่าง 7 วันก่อนวันสัมภาษณ์ ผู้สูงอายุประเมินว่าร่างกายโดยรวมมีภาวะสุขภาพดีมากและดีรวมกันไม่ถึงร้อยละ 50    2. เราอาจไม่มีลูกหลานดูแล หรือลูกหลานอาจไม่สามารถดูแลเรา ข้อมูลสถิติจากธนาคารโลกพบว่า ในปี พ.ศ. 2503 อัตราการเจริญพันธุ์หรือจำนวนเฉลี่ยของการผู้หญิง 1 คนจะมีการคลอดบุตร 6.15 คน แต่ในปี พ.ศ. 2557 อัตราการเจริญพันธุ์ลดลงเหลือเพียง 1.51 คนเท่านั้น 3. เราอาจไม่มีคนอื่นมาดูแล องค์กรภาครัฐหรือองค์กรสาธารณกุศลคงไม่สามารถดูแลเราทุกคนได้อย่างที่แต่ละคนต้องการอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่อายุ 60-69 ปี ก็จะได้รับเพียงแค่ 600 บาท เมื่ออายุ 70-79 ปี จะได้รับเพิ่มขึ้นเป็น 700 บาท เมื่ออายุ 80-89 ปี จะได้รับเพิ่มขึ้นอีกเป็น 800 บาท ในขณะที่ผู้สูงอายุ 90 ปีขึ้นไป ก็จะได้รับเพียงแค่ 1,000 บาท ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ต้องการสำหรับหลายๆ คน   4. เราอาจมีเวลาที่ต้องดูแลตัวเองหลังเกษียณยาวนานขึ้น หลายคนที่กล่าวสาธุทุกครั้งเมื่อได้รับพรจากพระ 4 ประการว่า ‘อายุ วรรณะ สุขะ พละ’ ก็อาจเปลี่ยนใจไม่อยากรับพร เมื่อรู้ว่าอายุขัยหลังเกษียณอาจยืนยาวมากขึ้นจนน่าตกใจ ข้อมูลจากศูนย์ศตวรรษิกชนซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลความรู้เกี่ยวกับผู้สูงอายุและศตวรรษิกชนหรือประชากรที่มีอายุร้อยปีขึ้นไปในประเทศไทย พบว่าในการประชุมอายุยืนยาวระหว่างประเทศที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส (Anti- Aging World Conference) ในปี ค.ศ.2005 ได้รายงานทางวิชาการว่า... มนุษย์น่าจะมีอายุยืนยาวเป็นปกติถึง 200 ปี! ผมคิดว่าเอาเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง หรือ 100 ปี เราก็คงต้องมาเอาเท้าก่ายหน้าผากกันแล้วว่าจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ถ้าไม่วางแผนเพื่อวัยเกษียณกันตั้งแต่วันนี้   AUTHOR : ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม            
รวยแค่ไหนถึงพร้อมเป็น พ่อแม่มือใหม่       ละครนางเอกท้องก่อนแต่งโดยไม่รู้ว่าพ่อของลูกเป็นใครต้องวุ่นวายกับการขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความจริงเพิ่งลาจอมายาไปไม่กี่เดือน ไม่กี่วันที่ผ่านมา สื่อก็พากันโหมประโคมข่าวที่เกิดขึ้นจริงในโลกมายากับการยอมรับว่ายังไม่พร้อมจริงๆ สำหรับบทบาทความเป็นพ่อในชีวิตจริงของดาราดังวัยรุ่นเพิ่งบรรลุนิติภาวะที่ยืดอกรับผิดชอบว่าเป็นพ่อของเด็กในท้องโดยไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอให้วุ่นวาย     คำว่า พร้อม ในที่นี้ทุกคนคงยอมรับว่าส่วนหนึ่งหนีไม่พ้นกับความพร้อมทางการเงินที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายตามมาอย่างคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นค่าฝากครรภ์และทำคลอด ค่านม ค่าอาหารทั้งอาหารหลัก และอาหารว่าง ขนมขบเคี้ยว ค่าเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ต้องเปลี่ยนแทบทุกปีตามการเจริญเติบโตของบุตร  ค่ารักษาพยาบาล ประกันสุขภาพ และประกันชีวิต ค่าที่พักอาศัยที่อาจต้องมีบ้านหลังใหญ่ขึ้นมีห้องเพิ่มขึ้นเพื่อความเป็นส่วนตัวของลูกและพ่อแม่ในอนาคต ค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์ค่าอินเทอร์เน็ตและค่าสาธารณูปโภคอื่นๆ ค่าพักผ่อนหย่อนใจนันทนาการของเล่นต่างๆ รวมไปถึงค่าเล่าเรียนทั้งในโรงเรียนและนอกห้องเรียน ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ เหล่านี้จะเพิ่มขึ้นทุกปีเป็นเงาตามตัวเนื่องจากราคาสินค้าบริการต่างๆ ปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ BIZ BUZZ ฉบับนี้ลองรวบรวมข้อมูลค่าเล่าเรียนที่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความพร้อมในการเลี้ยงดูสมาชิกใหม่ในครอบครัวมาให้ ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจได้สำรวจและเตรียมความพร้อมทางการเงินตั้งแต่เนิ่นๆ   ค่าเล่าเรียนโรงเรียนเอกชนทั่วไปตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถม มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษาอาจอยู่ในหลักหมื่นบาท/ ปี แต่ทันทีที่อยากขยับมาตรฐานการศึกษาเป็นการศึกษาหลักสูตรพิเศษในโรงเรียนรัฐก็อาจต้องเพิ่มค่าเล่าเรียนเป็นปีละเกือบครึ่งแสนเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามหากเชื่อในการศึกษาทางเลือกต้องการให้บุตรได้รับการศึกษาในโรงเรียนทางเลือกต่างๆ ค่าเล่าเรียนต่อปีอาจเพิ่มขึ้นเป็นหลักแสนบาทต่อปี ส่วนถ้าใครต้องการให้ลูกเติบโตเป็น Global Citizen พูดภาษาอังกฤษได้ราวกับเป็นเจ้าของภาษาส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ ค่าเล่าเรียนอาจเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 บาทต่อปี จนเกือบล้านบาทต่อปีก็มีอีกเช่นกัน ค่าเล่าเรียนดังกล่าวนี้ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ ตราบใดที่โลกใบนี้ยังหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดวงอาทิตย์ ค่าเล่าเรียนก็จะหมุนไปตามเวลาที่ผ่านไปอีกเช่นกัน ถ้าหากสมมติให้อัตราการเพิ่มขึ้นของค่าเล่าเรียนเท่ากับ 2.5% ต่อปี นั่นหมายความว่าค่าเล่าเรียนปีละ 10,000 บาท อาจเพิ่มขึ้นเป็น 10,769 บาท ในอีก 3 ปีข้างหน้าเมื่อลูกเริ่มเข้าเรียนอนุบาล และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 11,597 บาท ในอีก 6 ปีข้างหน้าเมื่อลูกเริ่มเข้าเรียนประถมศึกษา  และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 13,449 บาท ในอีก 12 ปีข้างหน้าเมื่อลูกเริ่มเข้าเรียนมัธยมศึกษา และนั่นหมายความว่าในอีก 18 ปีข้างหน้าเมื่อลูกเริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ค่าเล่าเรียนจะเพิ่มขึ้นเป็น 15,597 บาท  นั่นหมายความว่าถ้าหากต้องการเตรียมความพร้อมสำหรับการศึกษาของบุตรจนจบปริญญาตรี โดยนำเงินจำนวนหนึ่งไปฝากธนาคารพาณิชย์โดยได้รับอัตราดอกเบี้ยปีละ 1.5% แล้วค่อยๆ ทยอยถอนเงินทุกต้นปีเพื่อไปชำระค่าเล่าเรียนบุตรปีละ 10,000 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ 2.5% จำนวนเงินทั้งหมดที่ต้องการในปัจจุบันจะมีมูลค่าเท่ากับ 214,029 บาท  แต่ถ้าหากค่าเล่าเรียนเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 50,000 บาท หรือ 100,000 บาท จำนวนเงินที่ต้องมีในบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์อาจเพิ่มขึ้นถึง 1,070,147 บาท หรือ 2,140,294 บาทเลยทีเดียว   แต่ถ้าหากอัตราการเพิ่มขึ้นของค่าเล่าเรียนมากกว่านี้ เงินหลักแสนหลักล้านดังกล่าวก็ยังอาจไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามการวางแผนการลงทุนผ่านหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน หุ้นสามัญ หรือกองทุนรวมต่างๆ ก็อาจเป็นอีกตัวช่วยเพิ่มความพร้อมทางการเงินได้อีกเช่นกัน  ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นเพียงค่าเฉลี่ยโดยประมาณ สำหรับใครที่ต้องการคำนวณจำนวนเงินที่ต้องการเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการศึกษาของบุตรที่เป็นข้อมูลของตนเอง ก็อาจลองกรอกข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรและคำนวณได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ www.allaboutfin.com ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในเว็บไซต์ที่ทำให้คนไทยทุกคนสามารถลองวางแผนการเงินเบื้องต้นได้ด้วยตัวเองในยุคประเทศไทย 4.0 อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรเป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของความพร้อมทางการเงินกับการเป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่เท่านั้น ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมายที่ยังรออยู่ และความพร้อมทางการเงินก็เป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งของความพร้อมอื่นๆ ที่ต้องมี  ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมทางด้านร่างกายที่จะดูแลบุตรจนเติบใหญ่ ความพร้อมทางด้านเวลาที่พร้อมจะให้ความอบอุ่น รวมไปถึงความพร้อมทางวุฒิภาวะที่บ่มเพาะให้ลูกน้อยเติบโตเป็นคนดีในสังคม   AUTHOR : ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม      
สามมิติแห่ง การลงทุน ต่อยอดความมั่งคั่ง         คนไทยในยุค 4.0 ที่ Disruptive Technology กำลังพัดเข้ามาทำลายล้างการดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิมๆ ภายในเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน   ส่งผลทำให้เกิดความสั่นคลอนต่อรายได้จากการทำงาน รวมไปถึงการแข่งขันอย่างรุนแรงที่ทำให้รายได้จากการทำงานในองค์กรที่ยังดำเนินธุรกิจแบบเดิมๆ เพิ่มขึ้นในอัตราที่อาจต่ำอัตราเงินเฟ้อ รายได้จากการลงทุนจึงเป็นทางรอดหนึ่งที่จะทำให้เรามีความมั่งคั่งอย่างมั่นคง รูปแบบการลงทุนเพื่อต่อยอดความมั่งคั่งสำหรับนักลงทุนที่ไม่เน้นความหวือหวาไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงในการลงทุนที่สูงมาก และพร้อมที่จะมีระยะเวลาให้เงินทำงานได้อย่างเต็มที่ อาจพิจารณาจากแนวทางพีระมิดการลงทุนใน 3 มิติดังนี้ครับ 1. ซื้อถูก การลงทุนในหุ้นสามัญเปรียบเสมือนกับการที่นักลงทุนจะไปร่วมหุ้นลงทุนเป็นเจ้าของร่วมดำเนินกิจการ โดยที่อาจจะไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเข้าไปบริหารกิจการจริงๆ ดังนั้น นักลงทุนจึงควรมีความรู้ความเข้าใจเบื่องต้นในการดำเนินกิจการของหุ้นสามัญดังกล่าวว่าจะมียอดขายในอนาคตซึ่งส่งผลทำให้บริษัทมีกำไรมาแบ่งเป็นเงินปันผลให้กับนักลงทุนได้มากน้อยเท่าไร แล้วเปรียบเทียบว่าเงินที่ต้องจ่ายลงทุนเท่ากับราคาหุ้นสามัญที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯน้อยกว่าหรือมากกว่าเงินปันผลทั้งหมดที่จะได้รับคืนมาในอนาคต   อย่างไรก็ตามการลงทุนในยุค 4.0 นักลงทุนสามารถหาข้อมูลการคาดการณ์เงินปันผลที่จะได้รับคืนมาทั้งหมดในอนาคตจากบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ที่จะเผยแพร่มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นสามัญให้โดยที่นักลงทุนไม่ต้องไปเก็บรวบรวมข้อมูลและคำนวณเอง แล้วนำมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นสามัญดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับราคาของหุ้นสามัญดังกล่าวที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยควรจะตัดสินใจลงทุนในหุ้นสามัญที่มีราคาถูก นั่นคือว่าราคาที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯควรจะต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเองก็ควรติดตามข่าวสารเพื่อให้สามารถคัดเลือกหุ้นสามัญที่เป็นกิจการที่มีความมั่นคง มีสถานะการเงินที่ดี มีความสามารถในการทำกำไรในอนาคต และมีผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพในการบริหารกิจการเป็นอย่างดี แต่ต้องระวังว่าหุ้นของกิจการที่ดีบางบริษัทอาจมีราคาที่สูงจนเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริง ทั้งนี้เบนจามิน เกรแฮม ซึ่งเป็นปรมาจารย์ในการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ได้ให้คำแนะนำในการคัดเลือกหุ้นลงทุน โดยกำหนดว่าราคาซื้อขายนั้นควรต่ำกว่า 2 ใน 3 ของมูลค่าทางบัญชี   2. จับจังหวะ การลงทุนในหุ้นสามัญที่ต้องการซื้อหุ้น (ราคา) ถูกและ (มีสถานะการเงินและผลการดำเนินงาน) ดี นักลงทุนมักไม่เน้นลงทุนในหุ้นที่อยู่ในกระแสข่าว หรือหุ้นที่นักลงทุนจำนวนมากในตลาดให้ความนิยม เนื่องจากหุ้นเหล่านั้นมักมีราคาตลาดที่สูงเต็มมูลค่า หรือสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ในทางตรงกันข้ามนักลงทุน อาจเลือกหุ้นที่ถูกและดีแล้วรอจังหวะลงทุนที่หุ้นดังกล่าวได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดที่มีความผันผวนมากๆ ซึ่งส่งผลทำให้นักลงทุนจำนวนมากแตกตื่นพากันเทขายหุ้น จนทำให้ราคาหุ้นของกิจการบางแห่งที่มีผลการดำเนินงานที่ดีปรับตัวลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง บางครั้งจังหวะการลงทุนที่ดีก็อาจมีลักษณะที่สวนทางกับตลาดโดยรวม (Contrarian) 3. ขายแพง หลังจากนักลงทุนคัดเลือกหุ้นที่ดีและรอซื้อในจังหวะที่ถูกแล้วก็อาจต้องใจเย็นรอราวกับนักตกปลาที่ต้องรอให้ปลาตัวใหญ่มาติดเบ็ด โดยอาจต้องรอให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเข้าใกล้หรือสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงเป็นปีๆ เนื่องจากจะต้องรอให้นักลงทุนทั่วไปเห็นแจ้งประจักษ์จริงถึงผลดำเนินงานที่แข็งแกร่งของกิจการ อันจะนำไปสู่ยอดขาย ผลกำไร และเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอในที่สุด และเมื่อวันนั้นมาถึงเมื่อนักลงทุนทั่วไปมีข้อมูลที่ครบถ้วนก็จะหันมาให้ความสนใจกับหุ้นของกิจการดังกล่าว ส่งผลทำให้ราคาหุ้นปรับตัวแพงขึ้น และนำมาสู่อัตราผลตอบแทนที่สูงและคุ้มค่ากับการรอคอย   AUTHOR : ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม 
Wednesday, 07 November 2018 06:29

ลงทุนให้รวยด้วยทองคำ

Written by
ทองคำ ธาตุโลหะลำดับที่ 79 ตามหมายเลขอะตอมในตารางธาตุ มีความเหนียวและมีความอ่อนตัว ทำให้สามารถยืดและตีขึ้นรูปได้ทุกทิศทางตามที่ต้องการ ส่งผลทำให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้เสมอ คุณสมบัติเฉพาะตัวของทองคำดังกล่าวข้างต้น รวมกับความหายากของทองคำที่ต้องใช้เวลาขุดเจาะมากกว่า 10 ปี จึงส่งผลทให้ทองคำเป็นแร่ธาตุที่ต้องการและหมายปองของมนุษย์ทุกเชื้อชาติมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลจวบจนกระทั่งปัจจุบัน   ความนิยมทองคำในมุมของการลงทุนก็ยังเป็นที่นิยมตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน การลงทุนของคนไทยในยุคสมัยโบราณ เราคุ้นเคยกับการสะสมความมั่งคั่งผ่านทองคำไม่ว่าจะอยู่ในรูปของทองครูปพรรณหรือทองคำแท่ง เนื่องจากสามารถเก็บซ่อนได้ไม่ยาก เคลื่อนย้ายง่าย เมื่อมีความต้องการใช้จ่ายก็สามารถนมาขายหรือจำนำได้อย่างสะดวก นอกจากนั้นผู้ถือครองทองคำยังไม่ต้องกังวลใจกับอำนาจซื้อของเงินที่ลดลงจากภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ข้าวยากหมากแพง เพราะราคาของทองคำมักปรับตัวเพิ่มขึ้นไปด้วยเช่นกัน ในปัจจุบันทองคำยังคงเป็นทางเลือกการลงทุนที่นักลงทุนหลายคนจับตามอง นอกเหนือไปจากทางเลือกในการลงทุนรูปแบบเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ หรือการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่ไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่เพียงพอกับนักลงทุนอีกต่อไป นักลงทุนที่สนใจลงทุนในทองคำอาจทำการลงทุนโดยการซื้อขายทองคำโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณ ทั้งนี้การลงทุนในทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณในประเทศไทยจะไม่ใช่ทองคำแท้ 100% เนื่องจากมีความอ่อนตัวมาก จนไม่สามารถนำมาขึ้นรูปจึงต้องมีการผสมโลหะอื่นๆ เพื่อทำให้มีความแข็งมากขึ้น เช่น เงิน ทองแดง นิกเกิล สังกะสี ทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณที่ซื้อขายในประเทศไทยจึงใช้มาตรฐานความบริสุทธิ์ 96.5% เพื่อให้มีสีเหลืองทองและมีความแข็งเพียงพอในการนมาทำเป็นเครื่องประดับ ข้อดีที่ชัดเจนของการลงทุนในทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณเมื่อเทียบกับการลงทุนในทองคำรูปแบบอื่นๆ ก็คือการถือครองทองคำที่สามารถจับต้องได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองคำรูปพรรณที่สามารถนำมาสวมใส่ได้ในระหว่างที่ลงทุนอีกด้วย แต่นักลงทุนก็ต้องจ่ายค่ากำเหน็จซึ่งเป็นค่าแรงหรือค่าจ้างในการนำทองคำไปจัดทำให้มีลวดลายเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ค่ากำเหน็จอาจเป็นจำนวนเงินตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพัน ทำให้การขายทองคำเพื่อทำกำไรอาจต้องขาดทุนจากค่ากำเหน็จ อย่างไรก็ตามนักลงทุนที่กังวลใจว่าการลงทุนในทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณอาจเกิดการสูญหายไม่สะดวกในการเก็บรักษา ก็อาจทำการลงทุนในตั๋วทองคำที่ร้านทองเป็นผู้ออกตั๋วแทนการถือครองทองคำโดยตรง อย่างไรก็ตามการลงทุนผ่านตั๋วทองคำอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในกรณีที่ร้านค้าผู้ออกตั๋วทองคำ อาจไม่มีทองคำจริงรองรับการออกตั๋วทองคำดังกล่าว นักลงทุนจึงอาจต้องพิจารณาความเชื่อถือของร้านค้าผู้ออกตั๋วทองคำให้ดี นอกจากนั้นนักลงทุนก็ยังอาจลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวม ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจะนำเงินของนักลงทุนรายย่อยแต่ละรายมารวมกันเพื่อนำไปลงทุนในทองคำอีกต่อหนึ่ง โดยอาจเป็นการลงทุนในทองคำต่างประเทศหรือเป็นการลงทุนในกองทุน รวมทองคำของต่างประเทศอีกต่อหนึ่ง ทั้งนี้ข้อดีของการลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวมจะทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนด้วยจำนวนเงินที่ไม่สูงมากนัก โดยอาจใช้จำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 500 บาทเท่านั้น ส่วนนักลงทุนที่ต้องการอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำที่สูงและสามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนที่สูงมากเช่นกัน ก็อาจเลือกลงทุนใน Gold Futures ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จะได้รับผลตอบแทนตามราคาที่ทองคำเปลี่ยนแปลงไป โดยหากคาดว่าราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นก็ทำการซื้อ Gold Futures แต่ถ้าหากคาดว่าราคาทองคำจะลดลงก็สามารถทำการขาย Gold Futures ทำให้สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง นอกจากนั้นยังใช้เงินลงทุนจำนวนไม่มาก โดยอาจใช้เงินวางประกันขั้นต้นเพียง 4,940 บาท สำหรับการซื้อขายทองคำล่วงหน้าจำนวน 10 บาท หรือเทียบเป็นจำนวนเงินที่ลงทุนในทองคำโดยตรงประมาณ 200,000 บาท   AUTHOR : ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม            
สุภาษิตไทยที่บอกว่า ‘เวลาและวารีไม่เคยรอ’ ยังเป็นความจริงเสมอ แค่เพียงพริบตาเดียว ปฏิทินเดินทางมาถึงกลางปีแล้ว ใครที่ตั้งใจวางแผนกำหนดเป้าหมายชีวิตในปีนี้อาจต้องกลับมาทบทวนกันบ้างว่า ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่กำหนดหรือไม่ แผนทางการเงินที่แต่ละคนมีการกำหนดกันไว้ตั้งแต่ต้นปีควรมีการนำมาทบทวนเช่นกัน ว่ามีการดำเนินการไปตามแผนที่ตั้งเอาไว้แล้วหรือยัง Biz Buzz ฉบับนี้เลยจะพามาติดตามอัตราผลตอบแทนจากการออมและการลงทุนในทางเลือกต่างๆ สำหรับช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง   1. บัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์  อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินรับฝาก และถ่วงน้ำหนักด้วยยอดคงค้างเงินรับฝากครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 เท่ากับ 1.29% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน สูงสุดของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกเท่ากับ 1.80% ต่อปี ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ต่ำสุดของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกเท่ากับ 0.25% ต่อปี   2. พันธบัตรรัฐบาล อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเภทพันธบัตรเงินกู้ในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 เมื่อพิจารณาผลขาดทุนจากราคาพันธบัตรรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงไปรวมกับดอกเบี้ยที่นักลงทุนได้รับจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ส่งผลทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 นักลงทุนจะมีผลขาดทุน 1.25%   3. หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ สิ้นปี พ.ศ. 2560 ปิดที่ระดับ 1,753.71 ในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการเคลื่อนไหวผันผวน ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากสงครามการค้าโลกที่เริ่มขยายวงกว้างขึ้น ส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการเคลื่อนไหวสูงสุดที่ระดับ 1,852.51 ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 และต่ำสุดที่ระดับ 1,584.68 ในวันที่ 29 มิถุนายน 2561 โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันสุดท้ายของครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 ปิดไปที่ระดับ 1,595.58  ดังนั้น ราคาเฉลี่ยของหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 จึงลดลง 9.02% แต่เนื่องจากนักลงทุนยังได้รับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 เท่ากับ 1.69% ต่อปี ส่งผลทำให้อัตราตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2561 มีผลขาดทุน 7.33%   4. ทองคำ ราคาทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 96.5% ที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2561 มีราคารับซื้อบาทละ 20,000 บาท และมีราคาขายบาทละ 20,100 บาท ในขณะที่วันที่ 30 มิถุนายน 2561 มีราคารับซื้อบาทละ 19,550 บาท และมีราคาขายบาทละ 19,650 บาท นั่นหมายความว่าหากคุณซื้อทองคำสิ้นปีที่แล้ว และขายไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา คุณจะขาดทุนจากการลงทุนในทองคำ 2.74%   5. น้ำมัน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2561 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาเมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2560 ที่ 66.82 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เป็น 76.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลทำให้นักลงทุนได้รับอัตราผลตอบแทนสูงถึง 14.64%  ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2561 น้ำมันหรือทองสีดำ (Black Gold) จึงกลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาวของนักลงทุนชาวไทย แต่คงจะต้องติดตามกันต่อว่าในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2560 ทางเลือกการลงทุนอื่นๆ จะสามารถสร้างผลตอบแทนพลิกจากขาดทุนกลายเป็นกำไรได้หรือไม่     ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ผู้เขียนหนังสือ รวยเงินรวยสุข บันไดเลื่อนสู่ความร่ำรวย และอยากรวยต้องรู้ธรรม 
Page 1 of 2